เรื่องเล่าจากการ (ต้อง) วิ่งครั้งแรก “ไอ้น้อง วิ่งให้ช้า ช้า วิ่งให้ไกล วิ่งต่อเนื่อง และจะวิ่งได้อีกนาน เหมือนครู” บทสนทนาเริ่มต้นประมาณนี้ ผมพยักหน้ารับ เพราะลมหายใจที่เข้าออก ด้วยความแรงระดับพายุโซนร้อนที่พัดผ่าน ทำให้เกิดความยากลำบากที่จะสนทนา ความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณปลายท่อของรูจมูก และเหนือริมฝีปากอย่างต่อเนื่อง อย่างท้าทายความร้อนจากแสงแดดในเวลาประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง ริมทะเลที่กำลังซัดคลื่นเข้าฝั่ง แล้วม้วนกลับไปอย่างไม่สนใจไยดีกับกลุ่มคนที่พยายามกระเสือกกระสนเอาตัวรอด จากการก้าวเท้าวิ่งไปข้างหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อยและอ่อนแรง เสียงฝีเท้าครูฝึกอายุ 59 ปี อีกแค่เพียง 1 ปีเท่านั้น ก็จะจบชีวิตการรับราชการทหารเรือ เสียงฝีเท้านั้นดังอย่างสม่ำเสมอข้าง ๆ ตัวผม ที่อายุเพิ่งจะผ่านเบญจเพสมาไม่นาน แต่จังหวะเสียงของฝีเท้าของผมและครูช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ความสะเปะสะปะของจังหวะการลงน้ำหนัก ที่แสดงให้เห็นถึงพละกำลังที่ลดน้อยถอยลงทุกที แต่พละกำลังท่อนขาของครู ไม่ได้แสดงออกถึงอาการอ่อนล้าแต่อย่างใด กระนั้นเส้นเลือดที่ปูดโปนอย่างเห็นได้ชัดตามท่อนแขนที่แกว่งสลับกับจังหวะของรองเท้าบูท แสดงว่าเห็นถึงการกรำศึกมาที่มิใช่ระยะเวลาสั้น ๆ มันช่างน่าเกรงขามยิ่งหนักสำหรับเด็กหนุ่มผู้อ่อนหัดต่อโลกเยี่ยงกระผม “ยกอกขึ้น มือไม่ตก กำหลวม ร้องเพลงตามครูมาไอ้หนุ่ม” เสียงดังทุ้มได้ยินชัดเจน ไม่แสบแก้วหู แต่ทรงพลัง ทำให้ผมกลับเข้าสู่สมาธิ ร้องเพลงตามที่ครูได้ร้องท่อนแรก พวกเรามีหน้าที่ต่อเนื้อร้องในท่อนหลัง เพลงแล้วเพลงเล่า เพลงที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมด สวนทางกับพละกำลังท่อนขาของผมที่กำลังอ่อนแรงลงทุกที ครูหันมายิ้มมุมปาก แล้วชี้ให้ผมหันไปดูด้านหลัง ภาพที่ปรากฏคือ เพื่อนที่วิ่งมาด้วยกันของผม ราว 20 คน กำลังฉุดกระชากลากถูกัน ราวกับว่าเพิ่งโดนโจมตีจากข้าศึกด้วยอาวุธหนัก มีผู้ที่ได้รับเจ็บอาการหนัก และมีผู้ที่พยายามจะเอาตัวรอด ทุกคนดูทุลักทุเล หมดสภาพ ครูฝึกบอกกับผมว่า “เมื่อตอนเริ่มต้น พวกเขาเหล่านี้วิ่งอย่างไม่มีสมาธิ ไม่รักษาระยะของฝีเท้าให้ดี วิ่งเร็วบ้าง ช้าบ้าง พอมีแรงหน่อย ก็เพิ่มความเร็ว พออ่อนล้าก็ลดความเร็วลง การทำแบบนี้จะทำให้เราวิ่งได้ไม่ดี วิ่งไม่ทน และจะเลิกวิ่งไปในที่สุด ฉะนั้น ไม่ต้องรีบ วิ่งไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะวิ่งได้ทั้งชีวิตแบบที่ครูกำลังวิ่งอยู่ตอนนี้ ไป!!! เราไปกันต่อ” ผมได้แต่คิดในใจว่า จริง ๆ ผมก็หมดแรงแบบเพื่อน ๆ แล้วเหมือนกัน แต่จะทำยังไงได้ ก็ในเมื่อครูวิ่งอยู่ข้างผมตั้งแต่เริ่มต้น จนสองชั่วโมงผ่านไป ครูไม่ยอมเคลื่อนที่ไปไหนเลย ผมไม่ได้อึดหรืออะไรเลยครับ แต่ผมจำเป็นต้องวิ่ง เพราะเสียงฝีเท้าของรองเท้าบูทครู มันใกล้ผมเหลือเกิน วันเวลาล่วงเลยมาพอสมควร ชีวิตได้พลิกผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอนกีฬา หรือที่เรียกกันว่า ฟิตเนสเทรนเนอร์ ซึ่งจะต้องฝึกสอนการออกกำลังในทุกรูปแบบ ตามแต่ละเป้าหมายของผู้ที่ได้รับการฝึก คำพูดของครูทุกคำวันนั้น ยังก้องโสตประสาทของผมตลอดทุกครั้งที่ผมเริ่มก้าววิ่ง หรือให้นักกีฬาในทีมต้องฝึกวิ่ง ทุกคนแทบจะต้องได้ยินประโยคนั้นที่ครูเคยพูดกับผม และหลายคนเอามาล้อเลียนราวกับว่ามันเป็นคำพูดแสดงถึงตัวตนของผมไปแล้ว “วิ่งให้ช้า ช้า วิ่งให้ไกล วิ่งต่อเนื่อง และจะวิ่งได้อีกนาน” ขอบคุณครับครู อ้างอิงรูปภาพ ทุกภาพเป็นภาพของผู้เขียนเอง