ดิฉันอาศัยอยู่ในจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนติดกับประเทศมาเลเซีย ดังนั้นการเดินทางข้ามไปมาระหว่างคนสองฟากชายแดนถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดสงขลามีด่านชายแดนเข้าออกประเทศมาเลเซียถึง3ด่าน ด่านแรกคือด่านพรมแดนประกอบ อยู่ที่ อ.นาทวี ด่านที่สองคือด่านพรมแดนปาดังส์เบซาร์ อยู่ที่อ.สะเดา และใกล้ๆกันนั้นก็จะมีด่านพรมแดนที่ดิฉันอยากจะแนะนำคือ ด่านพรมแดนสะเดา อยู่ที่หมู่บ้านด่านนอก อำเภอสะเดาด่านสะเดานี้ติดกับเมืองจังโหลนในรัฐเคดาร์ของมาเลเซีย เป็นด่านที่คึกคักมากโดยเฉพาะในฝั่งไทย ที่มีโรงแรม สถานบังเทิง ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อผุดกันเป็นดอกเห็ด ซึ่งตรงข้ามกับฝั่งมาเลเซีย ที่พื้นที่หลังด่านจะเป็นชานเมือง สวนยางและปาล์มน้ำมัน ส่วนเขตชุมชนต้องขับเลยจากด่านไปประมาณ15นาที ดิฉันเลือกที่จะขับรถึงตัวเองข้ามด่าน ซึ่งผู้ขับขี่ทุกคนต้องเตรียมตัวก่อนการเดินทางให้พร้อม เริ่มจากการมีใบขับขี่แบบสมาร์ทการ์ด การนำทะเบียนรถยนต์ไปแปลเป็นภาษาอังกฤษที่กรมการขนส่ง และการติดสติ๊กเกอร์ทะเบียนรถยนต์เป็นภาษาอังกฤษ การซื้อประกันรถยนต์ รวมถึงฟิล์มติดรถยนต์ที่ไม่ควรทึบจนมองไม่เห็นภายใน ทั้งนี้กฏกติกาการนำรถเข้าประเทศมาเลเซียบางครั้งการปรับเปลี่ยนในรายละเอียด ดังนั้นควรตรวจสอบความแน่ชัดที่กรมการขนส่งทางบกของไทยก่อนเดินทางจะดีที่สุด ดิฉันเริ่มการเดินทางจากอ.หาดใหญ่ เวลา07.00น. มุงหน้าตรงไปยังอ.สะเดา ระยะทางประมาณ60กิโลเมตร แต่ทำเวลาได้ไม่ดีนัก ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงถึงหน้าด่าน ทั้งนี้เพราะดิฉันเดินทางในเวลาเดียวกับผู้คนสัญจรไปทำงาน นักเรียนเดินทางไปโรงเรียน อีกทั้งทางโค้งอันตรายที่ต้องคอยระมัดระวังก็มีอยู่มาก พอถึงด่านพรมอ.สะเดา ก็สามารถขับรถตามเส้นทางผ่านด่านและประทับตราในพาสปอร์ตจากเจ้าหน้าทึ่ใน stationจุดตรวจ โดยที่ไม่ต้องจอดรถและลงไปยังอาคารขาออก หลังจากนั้นเราก็มีขับรถเข้าไปยังพรมแดนมาเลเซีย ก่อนถึงด่านก็จะมีจุดตรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่อาจจะสอบถามวัตถุประสงค์การเดินทางและดูเอกสาร ด่านมาเลเซียเพิ่งสร้างส่วนขยายเสร็จ ใหญ่โตมาก มีช่องจำแนกประเภทรถชัดเจน เมื่อผ่านเข้าก่อนจะถึงจุดสแตมป์พาสปอร์ต ต้องแวะไปกรอกเอกสารและทำป้ายวงกลมICPที่สำนักงานกรมการขนส่งมาเลเซียหรือJPJก่อน ป้ายวงกลมICPเป็นตัวเจ้าปัญหาพอสมควร บางช่วงทางมาเลเซียให้คืนป้ายวงกลมก่อนออกนอกประเทศ บางช่วงก็ไม่ต้องคืน การจะคืนป้ายสร้างความปวดหัวให้ดิฉันมากเพราะปกติเส้นทางเดินรถเป็นวันเวย์ วนรถเข้าออกจนงงไปหมด ทางที่ดีถามก่อนว่าต้องคืนในขากลับหรือไม่ หลังจากมีICPติดหน้ารถแล้ว เราก็ขับรถต่อผ่านไปจุดตรวจและประทับตราพาสปอร์ต ผ่านจุดนี้ไปยังมีจุดตรวจที่เจ้าหน้าที่จะขอตรวจท้ายรถและสิ่งของที่นำมา ท้ายรถดิฉันว่างเปล่าเลยผ่านฉลุย แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เรายังต้องขับรถผ่านจุดตรวจของทหาร ซึ่งพี่ทหารก็มักชวนคุยเป็นภาษาไทยผสมอังกฤษ ก่อนที่จะปล่อยเราเดินทางต่อไป ทัศนียภาพหลังด่านมาเลเซีย คนละเรื่องกับฝั่งไทย ที่นั่นยังเป็นพื้นที่เกษตร แต่สะอาดเรียบร้อย ถนนกว้างขวางแบบซุปเปอร์ไฮเวย์ ไร้สายไฟเกะกะระโยงระยาง มีป้ายเตือนระวังวัวเป็นระยะ แต่จากการที่ดิฉันขับไปขับมาเส้นทางนี้หลายสิบครั้ง ก็ไม่เคยวัวเลยสักครั้ง มีแต่สวนยางและร้านค้ากระจายตัวกัน ขับมาได้ซัก10นาที ก็จะเจอคอมมูนิตี้มอลล์ ชื่อจังโหลนคอมเพล็กซ์ (Chuanglun Complex) ซึ่งเป็นจุดศูนยกลางในการจับจ่ายใช้สอบของคนย่านนี้ ภายในก็มีร้านค้าหลากหลายที่รู้จักเช่น ร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามอย่าง Watson และ ร้ายขายอุปกรณ์ช่างและเครื่องใช้เบ็ดเตล็ดอย่าง Mister D.I.Y ดิฉันสำหรับราคาในสินค้าหลายตัว พบว่าถูกกว่าในเมืองไทยพอสมควรทั้งนี้อาจเป็นเพราะค่าเงินไทยแข็งมาก อัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ดิฉันไปอยู่ที่ 7.27 บาทต่อ1ริงกิต นับเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่ต่ำที่สุดในชีวิตดิฉันทีเดียว (ตอนดิฉันเด็กๆอัตราแลกเปลี่ยน10บาท ต่อ1ริงกิต) ที่น่าสนใจคือ C-Mart Supermarkets จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลาย ส่วนใหญ่สินค้านำเข้าเช่นช็อคโกแล็ต แยม ขนมปังกรอบ ชา กาแฟ ราคาถูกกว่าในไทย ส่วนผักผลไม้ ราคาใกล้เคียงหรือแพงกว่าและดูไม่สดใหม่เท่าฝั่งไทย รอบๆจังโหลนคอมเพล็กซ์ จะมีร้านอาหารเฟรนไชส์ที่คนไทยรู้จักดีหลายร้าน เช่น KFC,Pizza Hut และ Secret Recipe สำหรับร้านสุดท้าย ดิฉันออกจะรู้สคกแปลกๆนิดหน่อยในการใช้บริการ เพราะถ้าเป็นในเมืองไทย ร้านนี้จะอยู่ในห้างสรรพสินค้าสุดหรูแบะชั้นนำของไทย แต่สำหรับสาขาที่นี่กลับซ่อนตัวในหลืบตึกแถวเก่าๆ รายรอบด้วยอู่ซ่อมรถ ดิฉันลองชิมหลายเมนู พบว่าใช้ได้ทีเดียว โอกาสหน้าจะมาเล่าให้ฟังว่ามีอะไรน่ากินบ้าง ดิฉันใช้เวลา ชิม ช้อป ใช้ ประมาณสองชั่วโมง เหลือบไปเห็นนาฬิกาโชว์ตัวเลขบ่ายโมงเศษ ก็เลยตัดสินใจกลับประเทศไทย ขากลับก็ผ่านจุดตรวจเหมือนขามาแต่ก็ไม่เข้มงวดเหมือนขาเข้า ดิฉันเหลือบดูเวลาในนาฬิกาในรถก็พบว่าเพิ่งจะเที่ยงกว่าเอง (เวลาในมาเลเซียเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง) ถ้าใครมีเวลาเหลือก็ค่อยๆเที่ยวชมได้ เพราะด่านพรมแดนเปิดตั้งแต่ 05.00-23.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย การเดินทางครั้งนี้พูดโดยรวมๆถือว่าสะดวกสบายทีเดียว แต่ถ้าเดินทางวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ อาจจะต้องใช้เวลาข้ามแดนนานมาก เพื่อนบางคนของดิฉันใช้เวลากว่าสองชั่วโมงที่ด่านพรมแดน ดังนี่นถ้ามีเวลาจำกัด เลือกมาในช่วงวันธรรมดาดีกว่าค่ะ จะได้รับความประทับใจกลับไปค่ะ