ชุมชนบ้านดอนมะกอก เป็นชุมชนเล็กๆที่ในอดีต คนในชุมชนทำอาชีพทำนาตั้งแต่บรรพบุรุษจนมาถึงประมาณเมื่อ 30 กว่าปี ชาวบ้านได้รับการแนะนำให้ลองเปลี่ยนมาเป็นทำสวนปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นช่วงที่ปาล์มน้ำมันกำลังเข้ามาเริ่มต้นปลูกกันในจังหวัดสุราษฎร์ธานี วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเครื่องไม้เครื่องมือการเกษตร แบบเดิมๆ หรือการเลี้ยงสัตว์ ที่เคย เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย กันก็เลยหายไป จากชุมชนเราจะ ไม่ได้เห็นภาพตอนเช้าๆ ที่ผู้คนจูงวัวจูงควายจากบ้าน ออกไปเลี้ยงกลางทุ่ง จนเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้เห็นวัวเห็นควายตัวเป็นๆ เห็นได้จากในรูปหรือในทีวีและรับรู้ความหมายที่ผิดเพี้ยนของคำว่า "ควาย" เปลี่ยนไปจากคุณค่าที่แท้จริงของมันจากการ ใช้คำว่า "ควาย" ของคนที่ไม่เคยได้สัมผัสกับ "ควาย " จริงๆ เด็กๆไม่รู้ถึงวิถีของการทำนาแบบบรรพบุรุษ รู้ว่าข้าวที่เขากินอยู่ใน หม้อข้าว เมื่อตอนหุงเสร็จเรียบร้อยแล้วเขารู้เพียงว่าตอนนี้พ่อแม่ของเขามีอาชีพทำสวนปาล์ม เพื่อแลกกับรายได้ที่มีมากขึ้น จากเดิมที่เคยทำนาปลูกข้าวได้ผลผลิตขายข้าวปีละครั้ง ปัจจุบันหลังจากทำสวนปาล์มน้ำมันก็ ก็มีรายได้ปีละหลายครั้ง โดยสามารถเก็บผลผลิตจากสวนปาล์ม คือทุก 20 วัน และได้เงินมากขึ้น เด็กๆในหมู่บ้าน มีโอกาสได้เข้าเรียนหนังสือ ในระดับที่สูงขึ้นหรือบางครอบครัว ก็ส่งลูกไปเรียนในเมือง คนหนุ่มสาวเลือกที่จะทำงาน อยู่ในตัวเมืองหลัง จากจบการศึกษา เหลือแต่ คนเฒ่าคนแก่ และคนทำงานในสวน ที่อยู่ในหมู่บ้าน หลายๆสิ่ง อาจจะเปลี่ยนไปตามสังคมแต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งยังคงเหลือ คือการร่วมไม้ร่วมมือของชุมชน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การทำกิจกรรม ที่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ คือการ ช่วยกันทำความสะอาด ซ่อมแซม สถานที่ที่เป็นส่วนรวม สถานที่สำคัญทางศาสนาการตัดหญ้าถางป่าข้างๆ ทางถนน คือการเสียสละคนละเล็กคนละน้อย โดยที่ไม่ต้องใช้เงินทองต่างคนต่างเอาเครื่องไม้เครื่องมือที่มีกันมาเอง มันคือความสวยงามของชุมชน มีการทำอาหารใครพอ จะมีอะไร ที่ปลูกบ้านพืชผัก ที่ปลูกเอง ถั่วฝักยาว แตงกวา มะเขือ มะละกอ ผักพื้นบ้าน บางคน ก็นำปลา ที่หามาได้ ตามคูคลอง บางคนก็นำไก่ ที่เลี้ยงไว้ที่บ้าน มาทำเป็นอาหาร ได้กินรวมกัน ผู้หญิงก็จัดการหุงหาอาหาร ส่วนผู้ชายก็ทยอยกันทำงานของตัวเอง ส่วนเด็กๆก็วิ่งเล่นกัน ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ขณะที่ต่างคนต่างทำงาน ก็พูดคุยเล่าเรื่องในอดีต หยอกล้อ ส่งเสียง เฮฮา ไปตามประสา อย่างสนุกสนาน บ่งบอกถึงความสุข ที่ได้มาเจอกัน เพราะบางคนหากไม่มีวันที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ก็แทบจะไม่ได้พบปะเจอหน้ากัน เหมือนเมื่อแต่ครั้งเก่าก่อน ซึ่งเป็นภาพที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในชุมชนแห่งนี้และเมื่อพวกเขาทำงานเสร็จ ก็มีการนัดหมายกันว่าครั้งต่อไป พวกเราจะมาร่วมกันทำอีกเมื่อไหร่ซึ่ง เป็นเสมือนสัญญาใจของคนในชุมชน มันคือ ความผูกพันจากการร่วมมือตามกำลังและความสามารถของตัวเอง เพื่อที่จะรักษาชุมชนให้น่าอยู่ ดูเหมือนแม้เป็นเพียงแค่งานเล็กๆไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่พลังของความรักและความสามัคคีกันของคนในชุมชนมันคือสิ่งที่เกี่ยวคล้องหัวใจของคนไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว ชุมชนใดเข้มแข็งสังคมที่นั่นก็จะสงบสุข ตลอดไป