เมื่อพูดถึงเขื่อนเชี่ยวหลานหรือเขื่อนรัชประภาในปัจจุบัน นักอนุรักษ์ธรรมชาติย่อมนึกถึงชายผู้เสียสละเพื่อผืนป่านามว่า “สืบ นาคะเสถียร” เป็นแน่แท้ เพราะเขาเคยทำการอพยพสัตว์ป่าซึ่งได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลานในปี พ.ศ. 2529 อีกทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญที่เรียกร้องให้ผู้คน รวมถึงรัฐบาลหันมาสนใจทรัพยากรทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า หรือแม้กระทั่งวิถีชีวิตของชาวบ้านรอบผืนป่า โดยการเสนอชื่อเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติต่อ UNESCO ก่อนจะจบชีวิตตัวเองลงในบ้านพักกลางอุทยาน หลายสิบปีผ่านไป เขื่อนเชี่ยวหลานได้รับการพัฒนาจากภาครัฐและภาคเอกชนจนกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันมีชื่อเสียงโด่งดังไปหลายประเทศ เพื่อลบรอยบาดแผลในอดีตที่เจ็บช้ำ ในช่วงนั้นผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังเขื่อนเชี่ยวหลาน พร้อมกับเพื่อน ๆ และรุ่นน้องอีกหลายคนในมหาวิทยาลัย โดยช่วงแรกนั้นหวังเพียงเพื่อไปนั่งพักรับประทานอาหารว่างและชมบรรยากาศรอบเขื่อนเท่านั้นเอง แต่ด้วยความงดงามของผืนน้ำสีคราม มันช่างดึงดูดใจจนทำให้เราตัดสินใจเหมาเรือเพื่อล่องไปสู่ห้วงมหรรณพอันไกลโพ้นหลังเทือกเขา เมื่อติดต่อเรือเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทาง แม้จะเป็นตอนใกล้เที่ยงแต่ด้วยความชื้นของน้ำ ช่วยให้อากาศโดยรอบเรือเย็นขึ้นทันตา เรือแล่นผ่านภูเขาหินปูนลูกแล้วลูกเล่าดูแปลกตาแตกต่างกันออกไป แล่นสวนทางกับเรือนักท่องเที่ยวลำอื่น ๆ กว่าสิบลำ เรือขับมานานกว่า 20 นาที ก็เดินทางมาถึงจุดที่เรียกกันว่า “เขาสามเกลอ” ซึ่งมีความสวยงามจนคนในเรือแทบทุกคนต้องเดินสลับกันไปมาเพื่อถ่ายรูปด้านหน้าเรือกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นจึงแล่นเรือย้อนกลับมาแวะรับประทานอาหารว่าง และทำธุระส่วนตัว พร้อมชมปลาสวยงาม ณ แพลอยน้ำในเขื่อนเชี่ยวหลาน ท่ามกลางภูเขาหินปูนที่ล้อมรอบ สมดังสมญานาม “กุ้ยหลินเมืองไทย” เสียจริง ๆ ต่อจากนั้นก็ถึงเวลากลับไปยังต้นทาง แต่ด้วยความเหนื่อยล้า จึงทำให้ผู้ร่วมเดินทางกว่าครึ่งหลับใหลไปบนเรือที่กระทบกับสายน้ำจนเกิดเป็นละอองฟุ้งขึ้นมาคลายความร้อน แตกต่างกับผมที่ตาสว่างตลอดเส้นทาง เพราะกลัวว่าจะพลาดวิวสวย ๆ งาม ๆ และมองไม่เห็นภาพอดีตของชายนักต่อสู้ผู้ช่วยเหลือสัตว์ป่าในเขื่อนเชี่ยวหลาน ชายผู้ซึ่งเป็นไอดอลของผมตลอดกาล การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าพื้นที่แต่ละแห่งนั้นมีพื้นหลังทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำความเข้าใจและยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตอันแสนเจ็บปวดนั้นได้อย่างไร เพราะประวัติศาสตร์มันคือเรื่องราวของอดีตที่สอนให้เราเห็นภาพของปัจจุบันเพื่อที่จะได้วางแผนป้องกันบาดแผลซ้ำรอยในอนาคตได้อย่างรอบคอบ