หุบเขาสวรรค์ “อุทยานธรรมเขานาในหลวง” ใครก็ตามที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหลังจากที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน และอยากจะหันหน้าเข้าสัมผัสกับธรรมชาติแบบแนวสายบุญ และหยุดทิ้งความวุ่นวายของชีวิตสักวันสองวัน ทางผู้เขียนขอแนะนำสถานที่ๆหนึ่งที่งดงามอลังการสมคำร่ำลือและได้ยินปากต่อปากจนนับไม่ถ้วน ประมาณว่าไม่ได้ไปแล้วจะเสียใจอะไรประมาณนี้ สถานที่นี้ควรจะไปในช่วงวันหยุดของใครแต่ละคน จะไปเป็นหมู่คณะหรือไปแบบครอบครัว ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคนครับ สถานที่ๆจะกล่าวนี้ชื่อว่า "อุทยานธรรมเขานาในหลวง" หรือที่เรียกกันติดปากว่าเจดีย์ลอยฟ้า เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่บรรดานักท่องเที่ยวสายบุญทั้งหลายอยากมาพิชิตสักครั้ง เนื่องจากสถานที่นี้เป็นแหล่งปฏิบัติธรรม แหล่งรวมแห่งศาสนาและความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครก็ตามที่เดินจากภาคอื่นๆทางมาภาคใต้หรือมีแพลนที่จะมาเที่ยวแถวพังงาหรือภูเก็ต ถือว่าไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งที่จะถือเอาอุทยานธรรมแห่งนี้ไปใส่ไว้ในตารางท่องเที่ยวของคุณด้วย เพราะนอกเหนือจากสัมผัสบรรยากาศแบบของวัดแล้ว ตรงนี้ยังสถานที่ๆคนส่วนมากเข้ามาสัมผัสและชื่นชนความงามของทะเลหมอกในช่วงเช้าตรู่อีกด้วย ขอแนะนำสถานที่เลยนะกันนะครับเพื่อจะได้ไม่เสียเวลา ตัวอุทยานเขานาในหลวงตั้งอยู่ตำบลต้นยวน อำเภอพนม จัหวัดสุราษฎร์ธานี นะครับ วิธีการเดินทางหากมาทางฝั่งตัวเมืองสุราษฎร์แล้วมาถึงปากทางเขื่อนรัชชประภาให้ตรงมาเรื่อยๆประมาณ 20 กิโลเมตร จะเจอไฟแดงที่กิโลเมตรที่ 61 ถ้าจำไม่ผิด ให้เลี้ยวซ้ายลัดเลาะไปตามเส้นทางประมาณอีก 20 กิโลเมตร จะถึงที่หมายอยู่ทางฝั่งขวามือ(หากมาไม่ถูกยังไงGoogle mapช่วยท่านได้ครับ) ระหว่างทางก่อนจะถึงวัดตรงนี้ก็จะเจอหมู่บ้านต่างๆ สวนยางพารา รวมถึงภูเขาหินปูนที่ตั้งตระง่านสวยงามตระการตา รับรองใครที่ไม่ค่อยได้สัมผัสแบบนี้บ่อยก็คิดในใจอยากจะมาอีกครั้งแน่นอน ตรงนี้พอเลี้ยวขวาเข้าวัดแล้วจะขึ้นเนินลูกรังนิดๆ(ระวังรถสวนทางนะครับทางแทบโดยเฉพาะซุ้มประตู) ก็จะเจอซุ้มประตูพุทธวดี 9 ยอด หน้าวัดซึ่งทำด้วยอิฐศิลาแลง ทีนี้หลังจากผ่านซุ้มมาเลี้ยวซ้ายแล้วก็หาที่จอดรถให้เรียบร้อย ใครที่มีพ่อแก่แม่เฒ่า (ไม่แนะนำผู้สูงอายุขึ้น เพราะทางชันมาก) ก็แนะนำให้ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนขึ้นไปบนพระธาตุ หรือจะหาอาหาร ของว่างรองท้องก่อนขึ้นไป ทางผู้เขียนแนะนำเป็นอาหารจำพวกแซนวิช ไส้กรอก หรืออาหารตามสั่งที่มีรสชาดไม่เผ็ด (อาหารใต้ส่วนมากจะเผ็ด) จะดีกว่า ทำไมถึงแนะนำแบบนี้เพราะว่าผู้เขียนเคยสั่งผัดกระเพราแบบเผ็ดๆมากิน แล้วทีนี้ขึ้นได้ประมาณองค์แรกเกิดอาการกรดไหลย้อนขึ้นมานะสิ บอกตรงๆทรมานมากๆ ทีนี้จะอธิบายถึงองค์พระเจดีย์จะมีด้วยกันทั้งหมด 5 องค์นะครับ ทางผู้เขียนแนะนำให้ขึ้นองค์ที่ 4-5 ก่อนเพราะสององค์นี้ถือว่าสูงและชันที่สุดและสามารถเห็นองค์เจดีย์อื่นๆได้อย่างชัดเจน(แนะนำให้ขึ้นจากยากมาง่าย ถ้าขึ้นองค์ง่ายๆก่อนมักจะไม่อยากขึ้นองค์ที่ยาก) ทางขึ้นค่อนข้างคดเคี้ยวต้องไต่ไปตามไหล่เขาใช้เวลาประณ 20 นาที จะไปองค์เจดีย์ที่ 4 และองค์ที่ 5 ต้องเดินต่อไปอีก 15-20 นาทีเลยทีเดียว ตอนที่ผู้เขียนไปเมื่อกลางเดือนมกราคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมาองค์เจดีย์ที่ 5 ยังสร้างไม่เสร็จ ก็เลยถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นเขาบอกว่าอีกประมาณหนึ่งเดือนก็น่าจะสร้างเสร็จแล้ว ระหว่างทางเดินขึ้นเดินลงก็เจอผู้คนสวนทางรับรองไม่เหงา เราก็สามารถหยุดเป็นพักๆให้หายเหนื่อยตรงนี้ก็ถือโอกาสเก็บรูปไปด้วยโดยเฉพาะองค์ที่ 4 สวยมากๆ ทีนี้หลังจากเสร็จภาระกิจแล้วเราก็ได้เดินลงมาใช้เวลาไม่นานไม่เหมือนตอนขึ้น ระหว่างลงเข่าจะสั่นๆและอ่อนแรงนิดๆ แต่ก็เอาอยู่555 หลังจากนั้นเราก็ได้นั่งพักประมาณ 15 นาที เพื่อเตรียมตัวขึนเจดีย์ที่ 3 และ 2 ตามลำดับ ข้างบนเวลามองลงมาก็สวยงามไม่แพ้กันครับมองไปรอบๆก็เจอหมู่บ้านแถวนั้น สวนยาง และรถแล่นผ่านไปมา เราใช้เวลาอยู่ข้างบนสักพักเพื่อดูดซืมซับอากาศที่บริสุทธิ์ และขอพรกับองค์พระเจดีย์ครับ ข้างบนมีดอกไม้ธูปเทียนไว้บูชาด้วยนะครับ ทั้งนั้นทั้งนี้แล้วแต่จิตศรัทธาแรงกล้าของแต่คนละคนนะครับ หลังจากเสร็จภาระกิจนี้แล้ว ก็ลงมาพักหายใจหายคออยู่ด้านล่างซึ่งจะมีร้านอาหารอยู่ประมาณ 2-3 ร้านครับ รสชาดิก็ใช้ได้ ส่วนตัวก็มีความประทับใจครับได้ทั้งบุญ ได้ทั้งผจญภัย พบปะผู้คน อีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือการฝึกความอดทนครับ อย่าย่อท้อ มีจุดหมาย แม้ว่าความชันทั้งหมดอาจจะสู้วัดเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดลำปางและวัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าแปลกกว่าสองที่ๆกล่าวมาคือขึ้นทีละองค์ ไม่เหมือนสองที่แรกที่ขึ้นแบบม้วนเดียวจบ ผู้เขียนหวังว่าคราวหน้าจะมีเรื่องราวดีๆมาเล่าให้ผู้อ่านฟังอีกนะครับ..... เครดิตรูปภาพหน้าปก โดย Sunshine