สวัสดีค่ะ วันนี้ผู้เขียนก็จะมาแชร์ประสบการณ์การดำน้ำครั้งแรกที่เกาะเต่าแบบ Scuba diving หรือคือ การดำน้ำลึกโดยใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจที่ติดกับตัวนักดำน้ำไปทำให้สามารถดำน้ำได้โดย แตกต่างกับการดำน้ำผิวน้ำที่เรียกว่า Snorkeling หรือ Skin Diving ตรงที่เหมาะสำหรับการชมปะการังน้ำตื้น ซึ่งใช้อุปกรณ์ในการดำน้ำไม่กี่ชิ้น เผื่อว่าผู้อ่านที่กำลังหากิจกรรมทำหลังจากหมดช่วงไวรัสโควิด-19 การดำน้ำก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ผู้เขียนแนะนำเลยค่ะ ซึ่งบทความนี้ก็จะมาแชร์ถึงการดำน้ำ 2 หลักสูตร (ผู้เขียนได้เรียนสถาบันดำน้ำ PADI นะคะ) คือ Open Water Diver Course และ Advanced Open Water Diver Course ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้จะเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง มาดูกันค่ะ Open Water Diver สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ไม่เคยเรียนดำน้ำมาก่อน ก็ต้องเรียนหลักสูตรการดำน้ำเบื้องต้นคือ Open Water Diver Course เป็นหลักสูตรดำน้ำสากลสำหรับทุกคนที่ไม่เคยดำน้ำมาก่อน หลักสูตรนี้จะได้เรียนรู้วิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ การสื่อสารใต้น้ำ รวมถึงรู้วิธีการรับมือและแก้ปัญหาในระหว่างการอยู่ใต้น้ำได้ ซึ่งจะใช้เวลาในการเรียนหลักสูตร Open Water Diver ประมาณ 4 วัน โดยแบ่งเป็น วันที่ 1 ปฐมนิเทศหลักสูตร ซึ่งเราก็จะพบกับครูดำน้ำและเพื่อนที่จะร่วมเรียนไปกับเราด้วย ซึ่งจะมีประมาณไม่เกิน 4 คน (การดำน้ำต้องมี Buddy หรือคู่หูนะคะ แนะนำว่าให้หาเพื่อนหรือพาแฟนไปเรียนด้วยกันแต่ถ้าใครไม่มีก็ไม่เป็นไรค่ะ) วันที่ 2 ศึกษาบทเรียน (ส่วนใหญ่จะเป็นการดูวิดีโอ) และ ฝึกภาคปฏิบัติ Confined Water ภาคที่ 1 ในสระว่ายน้ำ (เต็มวัน) วันที่ 3 ฝึกภาคปฏิบัติ Confined Water ภาคที่ 2 ในสระว่ายน้ำ และดำน้ำไดฟ์ 1 และ 2 (ความลึกสูงสุด 12 เมตร) จะเป็นการลงทะเลเพื่อให้เรามีความคุ้นชินกับการเคลียร์หูและการดำน้ำในทะเลจริงๆ ซึ่งจะใช้เวลาไม่นานมากค่ะ วันที่ 4 ศึกษาบทเรียนและสอบภาคทฤษฎี และดำน้ำไดฟ์ 3 และ 4 (ความลึกสูงสุด 18 เมตร) ซึ่งทั้ง 2 ไดฟ์นี้เราจะมีความคุ้นชินมากขึ้น จะทำให้เราสามารถโฟกัสกับธรรมชาติใต้น้ำที่สวยงามได้อย่างสนุกเลยค่ะ (แต่ว่าอย่าเพลินจนลืมดูอากาศที่ใช้ในแทงค์นะคะ) ซึ่งการดำน้ำในทะเลจริงตลอดหลักสูตรนั้นไม่ต้องกลัวเลยค่ะ เพราะมีครูสอนดำน้ำคอยดูแลเราตลอดเวลา ใจเย็นๆ แล้วค่อยทำตามที่ได้เรียนจากการดำน้ำในสระ หลังจากผ่านหลักสูตรแล้ว เราก็รอใบรับรองหรือบัตรดำน้ำที่บ้านได้เลยค่ะ Advanced Open Water Diver หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่สามารถเรียนต่อหลังจากเรียน Open Water Diver ได้เลยหรือจะเก็บไดฟ์ (จำนวนที่เราดำน้ำ) ก่อนมาเรียนก็ได้เช่นกันค่ะ ซึ่งหลักสูตรนี้ก็จะเพิ่มบทเรียนและทักษะการดำน้ำมากขึ้นมากขึ้น เช่น การดำน้ำลึกเกิน 18 เมตร (Deep Dive) ดำลึกลงกว่า 18-30 เมตร ทดสอบอาการเมาไนโตรเจน (จากประสบการณ์ผู้เขียน เราจะไปนั่งบนพื้นใต้น้ำที่ระดับ 30 เมตร จากนั้นครูสอนดำน้ำของเราจะให้เราบวกลบเลขง่ายดู เพื่อทดสอบอาการเมาไนโตรเจน ถ้าเกิดไม่มีปัญหาก็สามารถดำชมความสวยงามได้ต่อเลยจ้า แต่ถ้าเกิดคิดไม่ออกหรือคิดช้าเกินไปก็แสดงว่าเรามีอาการเมาไนโตรเจนแล้วค่ะ) การใช้เข็มทิศ (Underwater Navigation Dive) เรียนรู้ทักษะการใช้เข็มทิศเพื่อให้ดำน้ำได้ถูกทิศทาง กรณีพลัดหลงจากกลุ่ม สามารถพาตัวเองกลับมาที่เรือได้อย่างปลอดภัย (เพราะตอนเราดำน้ำเราจะไม่รู้ว่าใต้น้ำมันก็มีคลื่นพาเราออกนอกเส้นทางได้ ตอนเรียน ครูของเราก็จะให้เราดำน้ำไปกับคู่ของเราไปและกลับเองโดยการใช้เข็มทิศ ซึ่งไม่ได้ดำไปไกลจากครูของเรามากนักค่ะ) การดำน้ำกลางคืน (Night Dive) เรียนรู้ทักษะดำน้ำตอนกลางคืนโดยการใช้ไฟฉายดำน้ำดูพฤติกรรมสัตว์ทะเลที่แตกต่างออกไปจากตอนกลางวัน (ดำน้ำกลางคืนไม่ได้พาไปดำน้ำลึกจนน่ากลัวนะคะ จากประสบการณ์ผู้เขียนออกไปดำน้ำไม่ไกลจากชายฝั่งเท่าไหร่ค่ะ อีกทั้งตอนกลางคืนสัตว์ใต้ทะเลจะสวยงามมากๆค่ะ) การดำน้ำหลายระดับความลึกและการใช้เครื่องคำนวณ (Multilevel and Computer Dive) ฝึกการใช้ไดฟ์คอมพิวเตอร์ ดำน้ำที่ความลึกต่างระดับกันจากลึกมาตื้นเพื่อสังเกตค่าเวลา NDL ( NDL คือ เวลาในการดำน้ำที่นักดำน้ำเหลืออยู่ที่ความลึกนั้น ๆ) และอัตราการใช้อากาศที่ไม่เท่ากัน (เพราะการดำน้ำนั้นต้องมีช่วงพักระหว่างการดำน้ำ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยขับไนโตรเจนส่วนเกินออกมาจากปอดนะคะ) ควบคุมการลอยตัวขึ้นสูง (Peak Performance Buoyancy Dive) เรียนรู้เทคนิคฝึกการลอยตัวใต้น้ำให้สามารถควบคุมการขึ้นลงด้วยการหายใจ ซึ่งหลักสูตร Advanced Open Water Diver ใช้เวลา 2 วันในการเรียนซึ่งหลักสูตรนี้บังคับเรียน ดำน้ำลึก (Deep Dive) การใช้เข็มทิศ (Navigation) และการดำน้ำกลางคืน (Night Dive) ค่ะ หากเรียนจบหลักสูตรเราก็รอใบรับรองหรือบัตรดำน้ำที่บ้านเช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งส่วนตัวแล้วการดำน้ำถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากทีเดียว เนื่องจากตอนแรกผู้เขียนก็กลัวการดำน้ำเหมือนกัน แต่พอได้ทำจริงๆแล้วจะรู้ว่ามันไม่อันตรายและน่ากลัวอย่างที่คิด อีกทั้งพอเราได้ลงไปในใต้ท้องทะเลจริงๆ ไม่ใช่การดำเพียงแค่ระดับผิวน้ำ เราได้สัมผัสและเห็นถึงความสวยงามของธรรมชาติ และตระหนักถึงคุณค่าที่โลกสร้างสิ่งสวยงามเหล่านี้ขึ้นมาค่ะ สุดท้ายนี้ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านลองเปิดใจและเปิดรับความท้าทายในชีวิตด้วยการดำน้ำดูนะคะ เครดิตภาพ : ผู้เขียน