สวัสดีค่ะ ครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปสัมผัสอากาศหนาว อุณหภูมิหลักเดียวที่ภาคใต้กัน อะๆ อย่าเพิ่งโวยวาย มันอาจจะเป็นเรื่องแปลกหากเราจะพูดถึงอากาศหนาว ๆ เย็น ๆ ในภาคใต้ เพราะด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีทะเลขนาบสองฝั่งแล้วไม่มีวี่แววว่าจะหนาวได้เลย แต่เดี๋ยวก่อน อย่ารีบด่วนสรุป เพราะภาคใต้เราก็มีที่เที่ยวที่เป็นภูเขาหลายแห่งอยู่นะ ทั้งเขาเล่ สงขลา เขาฝาชี ระนอง และที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้ก็คือ ภูผาเมฆ จังหวัดตรังนั่นเอง ต้องขอบอกก่อนว่า “ภูผาเมฆ” ที่จะพูดถึงนี้คนละที่กับ “วังผาเมฆ” นะ วิวภูผาเมฆ ตอนสาย ๆ แสงแดดกำลังจะมา ภูผาเมฆ อยู่แนวเทือกเขาบรรทัดที่กั้นระหว่างจังหวัดตรัง-พัทลุง อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง จริง ๆ แล้ว ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก เพราะไม่ได้เปิดให้เที่ยวอย่างเปิดเป็นทางการ คาดว่าในอดีตเกือบจะเปิดแล้ว แต่เกิดเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากที่น้ำตกสายรุ้งซะก่อน เหตุการณ์ในครั้งนั้นก่อให้เกิดความสูญเสียเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ไม่มีใครกล้าขึ้นไปเที่ยว หรือพักผ่อนอีกเลย แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 10 ปี ก็ยังไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือน แต่...วันหนึ่ง เรากลับบ้านแล้วนึกอะไรก็ไม่รู้ ไปหยิบอัลบั้มรูปภาพมาดู เปิดไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เป็นรูปแม่ตอนวัยรุ่น แม่เราเป็นคนชอบเที่ยว แต่ละที่ที่แม่ไป เราคิดไว้ว่าจะไปด้วย อารมณ์แบบตามรอยซีรี่ส์เกาหลีงี้ จนพบรูปหนึ่งที่แม่ถ่าย เป็นภาพคนล้อมวงนั่งผิงไฟ แต่ละคนแต่งตัวด้วยเสื้อโค้ทหนาเหมือนอยู่บนดอย มีแบ็คกราวนด์เป็นทิวเขา และหมอกจาง ๆ เราจึงถามว่า “แม่เคยไปภาคเหนือด้วยเหรอ” แม่หัวเราะน้อย ๆแล้วบอกว่า “ไม่ใช่หรอก นั่นถ่ายที่เขาหัวล้าน เรียกอีกอย่างว่าภูผาเมฆ อยู่ข้างบ้านเรานี้เอง” เราเลยถามต่อว่าต้องไปยังไง แม่บอกว่าต้องขึ้นเขาทางน้ำตกสายรุ้ง ทันทีที่ได้ยินคำว่า น้ำตกสายรุ้ง!! นี่ก็แทบจะล่าถอย (ก็ไม่ได้กลัวผีเท่าไหร่ 55555) หลังจากนั้นก็คุยกับแม่ต่อสักพัก แล้วบอกแม่ว่า “หนูอยากไป” แม่ก็ถามแล้วถามอีก “บอกว่ามันไกลนะ” “เดินเหนื่อยนะ” “ไม่มีห้องน้ำ” “ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์นะ” และอีกสารพัดคำไซโค แต่นี่ก็ยังยืนยันกับแม่ว่า “ลำบากแค่ไหนก็ไป” แม่ก็ตกลง แล้วเริ่มติดต่อลุงแถวบ้านที่เป็นพรานเดินป่า ติดต่อลูกหาบ (คนหาบของ) บวกกับชวนเพื่อนบ้านอีก 2-3 ครัวไปด้วยกัน เพื่อความอุ่นใจในการเดินทาง จริง ๆ คนที่ไปก็คือสนิทกันหมด (หากใครมีบ้านอยู่ชนบทจะเข้าใจในส่วนนี้) มอสที่เกาะตามต้นไม้ ระหว่างทางเดินขึ้นเขา หลังจากนั้นก็มีการเตรียมพร้อมร่างกาย แต่จริง ๆ ก็ไม่ต้องเตรียมอะไรมากเพราะเราก็ออกกำลังเป็นประจำ หลายคนอาจคิดว่าเวอร์ไปมั้ย ถึงกับต้องเตรียมร่างกายเลยเหรอ ขอบอกตรงนี้เลยว่า ต้องเตรียมจริง ๆ เพราะเราใช้เวลาในการเดินทาง 2 วันกว่าจะถึงยอดภูผาเมฆ และอีกอย่างมันเป็นทางป่า ต้องแหวกหญ้ารก ต้องปีนผา ต่าง ๆ นานา ไม่ได้มีทางเดินสบาย ๆ ใยแมงมุมใหญ่ ๆ อยากถามแมงมุมว่า เอาไว้ดักแมลง หรือดักหมี 555555 เอาละ หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินทาง เราต้องขึ้นทางน้ำตกสายรุ้ง ในใจแอบหวั่น ๆ เล็กน้อย แต่พอลงรถเท่านั้นแหละ ถึงกับต้องอุทานเอามือทาบอกกันเลยทีเดียว เพราะน้ำตกสายรุ้งที่เรารู้จักตอนเด็ก ๆ เปลี่ยนไปมาก ตอนนี้เราสัมผัสได้ถึงอากาศบริสุทธิ์ จนเผลอสูดอัดอากาศดี ๆ เข้าไปเต็มปอด ต่างจากภาพจำวัยเด็ก ที่พอเลยป้อมกรมป่าไม้ (หรือป้อมยาม) ก็จะเจอเพิงร้านค้าขายของ ซึ่งตอนนี้ไม่มีแล้ว ลานหญ้าที่เคยโล่งเตียน ตอนนี้ดูรกขึ้นมานิดหน่อย ศาลาหลังเก่ายังอยู่ที่เดิม แต่ทรุดโทรมตามกาลเวลา และที่สำคัญไม่มีขยะเลย (แหงล่ะ ก็ไม่มีคนเที่ยวหนิ) เราดื่มด่ำกับอากาศดี ๆ ได้ไม่นาน ก็ต้องเริ่มเดินทางต่อ ขอบอกว่าการเดินทางครั้งนี้ เราตื่นเต้นมาก อารมณ์แบบเดินป่าในละครบู๊ของคุณฉลอง ภักดีวิจิตรยังไงยังงั้นเลย ความรู้สึกประมานอังกอร์ เหล็กไหล เสาร์ 5 (บอกอายุเหมือนกันนะ 55555) น้ำตกสายรุ้งในตำนาน น้ำใสไหลเย็น ไม่เห็นปลา เพราะไม่มี 55555 แรกเริ่มเดินทางเราเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง (ตอนเด็ก ๆ ชอบเล่นเดินป่า อินมาจากละคร5555) ภาพสองข้างทางในสายตาเรามันงดงามมาก น้ำตกสวย ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ สีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า มันช่วยเยียวยาจิตใจได้ดีจริง ๆ ไหนจะความเย็นที่เกิดจากความชื้นของน้ำตกอีก บอกได้คำเดียวเลยว่า “โคตรจะสดชื่น” แต่พอเดินมาสักพักชักเริ่มเหนื่อย ก็ไม่สนใจสิ่งรอบข้างใด ๆ ใจก็คืออยู่บนยอดภูผาเมฆแล้ว ตอนนั้นจำได้แค่ว่า ภาวนาให้ถึงไว ๆ จนคุณลุงที่เดินนำเห็นว่าเราเดินกันมาไกล และใกล้ค่ำแล้ว เราก็ต้องพักกลางทางกันก่อน 1 คืน ตอนนั้นความตื่นเต้นกลับมาอีกแล้ว ภาพจากเรื่องอังกอร์ลอยมา ไก่ย่างในตำนาน 55555 แต่ทางเราไม่มีไก่ย่าง เพราะเสบียงที่เตรียมมามีแต่อาหารกระป๋อง คุณลุงเขาช่วยกันหุงข้าว ต้มน้ำร้อน กางเตนท์ (ตอนนี้เองที่รู้สึกว่าวิชาลูกเสือมีประโยชน์) ส่วนเราก็คือช่วยหาฟืนเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เนื่องจากไม้บนเขามันมีความชื้นเยอะ กว่าจะจุดไฟติดก็ต้องใช้เวลาหน่อย แต่ใด ๆ แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกคนกินอิ่ม นอนหลับ (ตามสภาพ) กระซิบนิดนึงว่ากลางคืนอากาศหนาวมาก ตอนนี้เราอยู่เลยจุดต้นน้ำมาแล้ว ดังนั้นวันรุ่งขึ้นเราจึงเดินไม่ไกลนักนัก แต่ก็ใช้เวลาเกือบทั้งวัน (นี่ขนาดไม่ไกลนะ) อังกอร์ไทม์ 5555555 หนังเดินป่าในดวงใจ กว่าจะจุดไฟติดขนาดนี้ไม่ง่ายเลย การเดินทางหนนี้ช่างยาวนาน และเหนื่อยมาก เหนื่อยแทบขาดใจ แต่เมื่อถึงจุดที่เรียกว่า ภูผาเมฆ ความเหนื่อยทั้งหมดก็หายไปเหมือนปลิดทิ้ง เพราะภาพตรงหน้ามันเหมือนสวรรค์บนดิน เราถึงจุดหมายตอนเย็น และทันแสงสุดท้ายของวัน จำได้ว่ามันเป็นภาพที่สวยมาก (แน่นอนว่ามัวแต่ดื่มด่ำกับบรรยากาศ เลยอดเก็บภาพกลับมา) หลังจากเห็นแสงสุดท้าย เราก็รอที่จะเห็นแสงแรกไม่ไหว ใจมันอยากจะให้เช้าไว ๆ บวกกับคุณลุงที่เป็นพรานนำทางบอกว่า “ตอนหัวรุ่งเราจะเป็นหนึ่งเดียวเมฆ ละอองน้ำจะลอยผ่านปะทะตัวเรา อากาศจะหนาวมาก” แม่เจ้า เรานี่อยากจะรีบวิ่งไปผลักดวงจันทร์ แล้วอยากจะลากดวงอาทิตย์ขึ้นมา แต่ความจริงทำได้แค่กินข้าวเย็น นอนดูดาวแล้วหลับไป ถึงแล้วจ้า ภูผาเมฆ จนรุ่งเช้า มันเป็นแบบที่ลุงเขาบอกจริง ๆ ละอองน้ำลอยผ่านปะทะตัวเรา เหมือนเราเป็นหนึ่งเดียวเมฆ คำที่เขาบอกว่า “สัมผัสน้ำค้างกลางเวหา” มันไม่ได้เกินความจริงเลย เราตื่นเต้นมาก วิ่งเล่นโต้ลมไปทั่ว แต่ลมแรงมาก (เกือบปลิว) หลังจากนั้นก็เดินเที่ยวเล่น ๆ ดูดอกไม้ ต้นไม้แปลก ๆ ตามที่ลุงเขาชี้ให้ดู แต่ต้นไม้ก็คือแปลกจริง เพราะมันต้นเตี้ย แต่เหนียวมาก เราลองเอามือไปสัมผัสลำต้นคือเย็นมาก รู้เลยว่าอุ้มน้ำไว้เยอะ เมื่อตัดแล้วมีน้ำหยดออกมา ดื่มได้ (เหมือนในหนังเลย) ตื่นเต้นอีก 55555 จิบโอวันติลร้อน ๆ ยามเช้า คลุกเคล้ากับสายหมอก ภูผาเมฆยามเช้า อากาศดีมาก ๆ ดอกไม้ป่า อีกหนึ่งความงดงามของธรรมชาติ นี่คือต้นไม้เตี้ย ถ่ายเห็นใบเยอะเพราะต้นนี้สูงแค่อกเรา จากนั้นไม่นานก็ได้เวลาเดินทางกลับ แน่นอนว่าใช้เวลา 2 วันอีกเช่นเคย แต่ขากลับนี้เรารู้สึกเหนื่อยน้อยลง อาจเป็นเพราะใจมันยังอิ่มเอมกับธรรมชาติด้านบนอยู่ก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตามการเดินทางครั้งนี้ก็ถือเป็นการท้าทายตัวเองพอสมควร เราไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะเดินป่าได้ไกลเป็น 10 ๆ กิโล นี่แหละที่เขาว่ากันว่า “ถ้าไม่ลองก็จะไม่รู้” และถ้าคุณอยากรู้ก็ต้องมาลอง... จากกันไปด้วยภาพใบอ่อนของยอดไม้สีแปลกตา คิดว่าไม่น่าจะหาชมได้จากที่ไหนอีกแล้ว ^^