ร่างกายของคนเรานั้นขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวไปตามพลังงาน และกิจกรรมในแต่ละวัน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าร่างกายคือจิตใจ คำพูดหรือวลีที่แสดงว่าจิตของเราล้วนนำร่างกาย คือ จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว หากจิตไม่ทำงานเสียแล้วร่างกายก็นอนแน่นิ่ง ในมนุษย์งานก็เช่นกัน งานหนักแค่ไหน หากใจสู้ทุกอย่างก็ลุล่วง แต่ถ้าวันไหนเกิดอาการเหนื่อยล้าทางจิตใจขึ้นแล้วละก็ อาจส่งผลต่อร่างกายได้โดยตรง ยิ่งจิตใจห่อเหี่ยวสะสมนานวันเข้าด้วยแล้ว ไม่ต้องคิดเลยว่า ร่างกายจะห่อเหี่ยวขนาดไหน ดังนั้นทุกวันนี้แทบจะทุกองค์กร ทุกบริษัทหน่วยงานห้างร้านต่างหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตใจของคนในที่ทำงาน เพราะเชื่อว่าสุขภาพจิตใจที่ดีส่งผลกระทบตรงต่อผลประกอบการ หรือการส่งมอบผลงานโดยตรง การดูแลสุขภาพจิตใจของคนในที่ทำงาน ทำได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีดังนี้ Photo by Matthew Henry on Unsplash พักสักนิด มีการศึกษาพบว่าการได้มีช่วงเวลาให้คนในที่ทำงานได้มีเวลาหยุดพักงานในช่วงสั้นๆ เช่น 15-30 นาที ช่วยเสริมสร้างความผ่อนคลายให้กับพนักงาน การได้ออกไปพูดคุย ดื่มชากาแฟหรือขนมเบาๆ เมื่อกลับมานั่งทำงานต่อแล้วความคิดที่เคยติดขัดยังโลดแล่นดีขึ้น และนี่จึงส่งผลให้งานออกมาอย่างสร้างสรรค์ Photo by Kelly Sikkema on Unsplash เพิ่มวันลา มนุษย์เงินเดือนส่วนมากต่างทุ่มเททำงานโดยไม่ได้ลาระหว่างปีงบประมาณ เพราะเกรงว่าผลการประเมินจะไม่ดี หยุดลาบ่อย ๆ ส่งผลต่อการพิจารณาเลื่อนขั้นหรือปรับเงินเดือน แต่ในยุคที่เปลี่ยนไป การพิจารณาผลงานจากผลงานที่สัมฤทธิ์จริงต่างหากคือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าการขาด ลา มาสาย ดังนั้น การสนับสนุนให้พนักงานหรือลูกน้องได้มีวันหยุดเป็นระยะ ๆ โดยไม่รอเมื่อหมดปีงบประมาณจะยิ่งกระตุ้นให้ลูกน้องเกิดไฟในการทำงานอย่างต่อนเนื่อง รวมทั้งทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม Photo by Brooke Cagle on Unsplash กิจกรรมสร้างสรรค์ การจัดกิจกรรมเพื่อให้พนักงานในองค์กร หรือบริษัทได้มีเวลาแลกเปลี่ยนความคิดความอ่านร่วมกันนำมาซึ่งการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ เช่น จัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสิ่งที่ตนชอบ หรือมีความถนัด รวมถึงการจัดให้มีช่วงเวลาที่ผู้บริหารได้ลงมาพบปะกับลูกน้องเป็นการลดช่องว่างระหว่างเจ้านายและลูกน้อง เมื่อช่องว่างลดลง บรรยากาศในทำงานจะสดชื่น มีความกล้าที่จะสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยน หรือเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน ดูแลโดยจิตแพทย์ หลายคนที่มีปัญหาทางจิตใจและเลือกที่จะเก็บไว้จนสะสมเป็นปมแน่นนั้นแก้ยากกว่า เพื่อให้พนักงานรู้ตัวแต่เนิ่น ๆ ว่าตนมีปัญหาทางจิตใจ หรือความเครียดสะสมใดหรือไม่ ด้วยการจัดให้มีจิตแพทย์เข้ามาให้คำแนะนำจะช่วยให้ปัญหาหนักเป็นเบา หรือหากว่าไม่มีปัญหาอะไรก็ตามที การได้มอนิเตอร์สภาพจิตใจตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ดังนั้น การดูแลสุขภาพใจให้กับลูกน้องและคนในองค์กรจึงเป็นการดูแลระดับฐานรากถือเป็นเรื่องที่สำคัญและส่งผลต่องานโดยตรง เพราะถ้าจิตดี ใจเข้มแข็งแข็ง ร่างกายก็จะสดชื่นและเปี่ยมไปด้วยพลังในการทำงาน ภาพปก Photo by Lesly Juarez on Unsplash