คนที่ผมรู้จักหลายคน มักจะบ่นว่ากินน้อยแต่ยังอ้วน พี่กินมากไม่เห็นจะอ้วน มันก็เลยเป็นที่มาของบทความนี้ เพราะผมคิดว่าบอกเขาตรง ๆ น่าจะมีโกรธเลยเอาเป็นว่าไม่ดีกว่า แค่ก็ยังอยากที่จะให้คนที่คิดแบบนี้รู้หลักคร่าว ๆ ของอาหารว่าสารอาหารในแต่ละเมนูไม่ได้อยู่ที่น้ำหนัก ยกตัวอย่างคุกกี้ 1 ชิ้นมีพลังงาน 45 แคลอรี่ เมื่อเทียบกับชมพู่ 1 ลูกชมพู่มีพลังงานเพียง 16 แคลอรี่ ทั้งที่ขนาดต่างกันเป็นอย่างมาก เห็นไหมว่าการกินน้อยไม่ใช่ว่าจะไม่อ้วน แล้วปกติคนเรากินกี่ชิ้น คงมากกว่า 1 ชิ้นแน่นอน Q : อาหารพลังงานสูงเป็นสาเหตุให้อ้วนใช้ไหม A : ตอบเลยว่าไม่ เพียงแค่เราต้องรู้ว่าเราได้รับพลังงานเกินที่ควรได้รับต่อวันหรือเปล่า หากไม่เกินก็ไม่อ้วนดังนั้นการนักแคลอรี่จึงสำคัญ ไม่ต้องเอาให้แม่นทุกอย่าง เอาแค่คร่าว ๆ เพียงแค่ให้รู้ครับ เปรียบเทียบเป็นอาทิตต่ออาทิตย์คุณก็จะรู้ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมากินได้ถูกไหม เมื่อพูดถึงพลังงานและการลดความอ้วนหลาย ๆ ท่านมักจะยกตัวอย่างเป็น แอปเปิลเขียว ซึ่งแน่นอนว่าจะเอาแอปเปิ้ลสีเขียว มันเป็นแอปเปิ้ลเปรี้ยวมันก็เลยให้พลังงานที่น้อยเพราะฉะนั้นผมขอยกตัวอย่าง เป็นชมพู่เหมือนเดิมแล้วกัน เทียบกับทุเรียน เพราะตอนนี้กำลังเริ่มเป็นฤดูของทุเรียนแล้วนะ ในปริมาณที่เท่ากัน ชมพู่ ให้พลังงานน้อยกว่า ทุเรียน ประมาณ 10 เท่า นั่นก็หมายความว่า ก็เราควรกินชมพู่ 1 ขีด คุณอาจจะได้รับพลังงานอยู่ที่ 16 แคลอรี่ แต่สำหรับทุเรียน 1 ขีด หรือ 100 กรัมด้วยปริมาณที่เท่ากันให้พลังงานมากถึง 163 แคลอรี่ โอ้ทำไมตัวเลขมันต่างกันมหาศาลขนาดนี้ แต่ตัวเลขนี้เป็นของจริงครับ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็น นั่นคือเมื่อเราไปรับประทานอาหาร จะมีเพื่อนบางคนที่ชอบกิน ของทอด หรือไม่ก็จะเป็นพวกหมูสามชั้น เบคอน โดยเฉพาะเมนู ปิ้ง ย่าง ผิดกับบางคนที่เลือกกินเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อไม่ติดมัน หรือไม่ก็เป็นกุ้ง กับผัก ซึ่งพฤติกรรมการกินทั้งสองคนมันต่างกันโดยสิ้นเชิงเพราะส่วนของไขมัน คุณรู้หรือไม่ว่าไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานมากถึง 9 แคลอรี่ ส่วนโปรตีนกับคาร์โบไฮเดรต จะให้พลังงานเพียงแค่ 4 แคลอรี่ แล้วไม่อยากจะคิดเลยว่าคนที่กินเนื้อติดมัน ของทอด ไก่ทอด สามชั้นทุกวันจะได้รับพลังงานที่มากขนาดไหน แค่ก็นะเขาคงไม่นับหรอก 555 และจะไม่พูดถึงเลยก็คงจะไม่ได้ นั่นคือกระบวนการย่อยของร่างกายของเรานั่นเอง กระบวนการย่อยอาหารของเรานั้นจะเปลี่ยนแป้งไปเป็นกลูโคส เปลี่ยนโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโน และเปลี่ยนไขมันให้อยู่ในรูปของกรดไขมัน แต่กรดไขมันหากใช้ไม่หมดร่างกายก็จะเปลียนมาเก็บเป็นพลังงานสำรองในรูปแบบของไขมันใต้ผิวหนัง ในช่องท้อง หรือแม้แต่ ต้นแขน ต้นขา โดยกระบวนการย่อยนั้นการย่อยนั้น ไขมัน ใช้พลังงานน้อยที่สุด เพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณไขมันที่ได้รับทั้งหมด ที่ได้รับทั้งหมด ซึ่งต่างจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ที่ใช้พลังงาน ในการย่อย ย่อย มาถึงประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณที่ได้รับทั้งหมด หมายความว่าถ้าคุณกินไขมันเข้าไป 20 กรัม คุณจะได้รับพลังงานเข้าไป 180 แคลอรี่ และใช้พลังงานนั้นในการย่อยประมาณ 5 แคลอรี่ ต่างจากการกินโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ที่คุณกินเข้าไป 20 กรัมเท่ากันจะได้รับพลังงาน 80 แคลอรี่ และใช้พลังงานในการย่อยมากถึงประมาณ 16 แคลอรี่ ส่วนต่างของสารอาหารทั้ง 3 ในปริมาณเท่ากันนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงโดย 20 กรัม ร่างกายจะได้รับพลังงานดังนี้ 20 กรัมของไขมันร่างกายจะได้รับพลังงาน 175 แคลอรี่ แต่ 20 กรัมของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะได้รับพลังงานไปแค่ 60 แคลอรี่ แค่ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารชนิดไหนหากร่างการใช้ไม่หมดก็จะเก็บเป็นไขมันอยู่ดี อันนี้แหละที่น่าเศร้า เมื่อเทียบกันแล้วคงทราบนะครับว่าเราควรที่จะเลือกพลังงานที่มาจากสิ่งไหนเพราะ กระเพาะของเราคำนวณการอิ่ม จากน้ำหนักของอาหารไม่ใช่ พลังงานแคลอรี่ เพราะฉะนั้นคุณก็ควรที่จะเลือก กินอาหารที่คิดว่ามีประโยชน์กับร่างกายน่าจะดีที่สุด ดีกว่าเก็บไขมันไว้กับพุงอันใหญ่นะครับ คนที่กินน้อยไม่ใช่ว่าจะผอม และคนที่กินมากก็ไม่จำเป็นต้องอ้วนเสมอไป ขอขอบคุณรูปภาพจาก https://pixabay.com ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3/ ภาพที่ 4