แฟชั่นความงามเป็นสิ่งที่มาไวไปไวตามกาลเวลา แฟชั่นยุคอดีตที่เคยรุุ่งเรืองก็ถูกกลืนหายไปตามกาลเวลา แต่ปัจจุบัน คนก็โหยหาแฟชั่นความงามในอดีตจนกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง แต่สำหรับแฟชั่นในอดีตต่อไปนี้ คุณจะต้องขอร้องว่า อย่ากลับมานิยมอีกเลย เพราะความสวยเหล่านี้ต้องแลกด้วยความเจ็บปวดทรมาน และผลที่ตามมาอย่างสยดสยอง ลองมาอ่านเบื้องหลังของแฟชั่นสุดสะพรึงเหล่านี้กัน แล้วคิดดูว่า คุณจะอยากให้มันกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งหรือเปล่า เท้าดอกบัว (การรัดเท้า) มาเริ่มที่แฟชั่นสุดสยองแรกเลยค่ะ คุณเคยใฝ่ฝันอยากมีเท้าเรียวเล็กได้รูปหรือไม่ ถ้าใช่ แฟชั่นนี้อาจจะตอบโจทย์คุณค่ะ แต่เบื้องหลังเท้าเล็กนั้นไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่ เพราะมันคือการรัดเท้า แฟชั่นนี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังของจีน ซึ่งที่มาจากนางสนมที่รัดเท้าด้วยผ้าและขึ้นไประบำปลายเท้าด้วยลีลาสวยงาม ทำให้ผู้หญิงชั้นสูงที่พบเห็นเริ่มรัดเท้าเพื่อให้มีเท้าเรียวเล็กเหมือนดอกบัว และกลายเป็นประเพณีการรัดเท้าในเวลาต่อมา สำหรับการรัดเท้าต้องเริ่มทำตั้งแต่อายุประมาณ 4-7 ขวบ เนื่องจากเป็นช่วงที่กระดูกยังอ่อน เริ่มจากกดนิ้วเท้าให้งอลงมาที่ฝ่าเท้า และใช้ผ้ารัดไว้อย่างแน่นหนาตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เท้าขยายตัว จะแก้ออกได้ก็ต่อเมื่อล้างเท้าเท่านั้น ส่งผลให้เท้าทั้งสองข้างมีขนาดเล็กเหมือนดอกบัว สวยงามและดึงดูดอารมณ์ได้มากกว่าผู้หญิงเท้าปกติตามความเชื่อของคนจีนในสมัยนั้น อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงชนชั้นสูงที่ไม่ต้องใช้เท้าทำงานหนักด้วย Source: Wikipedia Common โดย Lai Afong / Public domain แน่นอนว่า ผู้หญิงที่รัดเท้าต้องทนทุกข์ทรมานกับเท้าที่ถูกรัดจนผิดรูป ไม่สามารถเดินได้เหมือนคนปกติ หรือบางคนเท้าติดเชื้อเพราะถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา จนต้องตัดเท้าทิ้งไป กลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต โชคดีที่แฟชั่นเท้าดอกบัวสุดสยองนี้ได้จบลงเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 มิเช่นนั้นเราอาจพบเห็นแฟชั่นนี้ในปัจจุบันก็เป็นได้ ผมทรงฟองตางเก (Fontange) จากฝั่งเอเชีย เราข้ามมาดูแฟชั่นฝั่งตะวันตกกันบ้างค่ะ สำหรับคนที่ชอบทำผมตีโป่งสูง ๆ แบบย้อนยุค คุณอาจจะเคยทำผมใกล้เคียงกับแฟชั่นนี้ ผมทรงฟองตางเก (Fontange) เป็นการเกล้าผมสูงกลางศีรษะ มัดโบว์เล็ก ๆ หลายอันไว้ด้านหน้า จากนั้นใช้ลูกไม้จีบและมัดมวยผม 3-4 ชั้นวนไล่ขึ้นไปเป็นยอด ทิ้งปอยผมเป็นลูกคลื่นไว้ด้านข้างและด้านหลัง และผูกโบว์ยาวทิ้งตัวลงมา อาจประดับขนนกไว้ด้านบนเพื่อเสริมความอลังการ ยิ่งทำผมสูงยิ่งแสดงถึงฐานะที่สูงส่ง Source : Wikipedia Common โดย John Smith / Public domain อ่านคำบรรยายถึงผมทรงนี้แล้วคิดเหมือนกันไหมคะว่า มันช่างซับซ้อนเหลือเกินกว่าจะทำออกมาได้ ใครหนอเป็นคนคิดทรงผมนี้ออกมา คำตอบคือ Angelique de Fontange ค่ะ นางเป็นชู้รักคนโปรดของกษัตริย์หลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ที่มาของผมสุดอลังการนี้มาจากตอนที่นางทำหมวกหล่นหายในขณะที่ออกไปล่าสัตว์ นางจึงผูกผมด้วยโบว์หลายเส้นจนออกมาเป็นผมหลายชั้น ซึ่งผลงานที่ออกมานั้นสวยงามและเป็นที่พึงพอใจของกษัตริย์เป็นอันมาก จากนั้น ผู้หญิงทั่วยุโรปก็ทำผมแบบนาง และเริ่มใส่เครื่องประดับต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความสวยงามมากขึ้น Source : Wikipedia Common ผู้อ่านอาจสงสัยว่า แล้วแฟชั่นนี้น่าสะพรึงอย่างไร นอกจากทรงผมขนาดใหญ่ทำให้หนักศีรษะ และเกี่ยวพันสิ่งต่าง ๆ จนแกะออกได้ยากแล้ว เครื่องประดับต่าง ๆ ที่อยู่บนผม ล้วนแต่เป็นวัสดุที่ติดไฟได้ง่ายค่ะ ในสมัยนั้นมีงานราตรีที่มีโคมไฟและเทียน มีโอกาสที่ทรงผมนั้นจะไปโดนไฟและลามไปถึงตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะเต็มไปด้วยวัสดุที่ติดไฟ ซึ่ง Angelique de Fontange ก็ตายเพราะทรงผมของตนเองที่โดนเทียนจนติดไฟลุกลามไปทั่วตัว ด้วยเหตุนี้ ทรงผมฟองตาเก (Fontage) จึงเป็นแฟชั่นในอดีตที่เหมือนจะไม่มีอะไร แต่แอบสะพรึงเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับผมทรงนี้ กระโปรงสุ่มคริโนไลน์ (Crinoline) ในสมัยวิกตอเรียของประเทศอังกฤษ เป็นยุคที่มีแฟชั่นความสวยความงามเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นแฟชั่นที่แฝงอันตรายจนกลายเป็นแฟชั่นสยอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ คริโนไลน์ หลาย ๆ คนอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้ และนึกไม่ออกว่ามันคืออะไรใช่ไหมคะ แต่ถ้าบอกว่า มันคือกระโปรงสุ่ม ทุกคนต้องนึกภาพออกแน่นอน คริโนไลน์คือชื่อของกระโปรงที่ถูกสวมลงบนโครงสุ่มที่บานใหญ่ ทำจากขนม้าเพื่อรักษาทรงให้บานอยู่ตลอดทั้งวัน และนำผ้ามาติดตามโครงให้สวยงามจนเป็นกระโปรง เป็นแฟชั่นที่นิยมในกลุ่มชนชั้นสูงอย่างแพร่หลาย Source: Pixabay โดย Klimkin แต่ด้วยรูปทรงของกระโปรงนั้น ทำให้เกิดเหตุการณ์สยองขึ้น เนื่องจากตัวกระโปรงนั้นติดไฟได้ง่าย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากกระโปรงที่ติดไฟจนลุกลามทั่วตัว มีเหตุการณ์หนึ่งที่ตัวกระโปรงเป็นต้นเหตุขวางประตูทางออกในขณะที่ผู้คนกำลังหนีออกจากเหตุเพลิงไหม้ ณ โบสถ์แห่งหนึ่งใน Santiago ประเทศชิลี ทำให้เกิดเหตุการณ์สลดใจขึ้น (ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด) นอกจากนี้ ผู้หญิงหลายคนใส่กระโปรงและบังเอิญไปเกี่ยวกับรถม้าจนโดนลากไปตามท้องถนน บางคนถูกลมพัดกระโปรงอย่างแรง จนตกลงมาจากที่สูงและเสียชีวิต หรือบางคนโดนลมพัดแรงจนโครงกระโปรงรัดตัวจนกระดูกหัก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันจากความสวยงามของตนเอง ทุกวันนี้ไม่มีใครใส่กระโปรงสุ่มในชีวิตประจำวันแล้ว เราจะพบเห็นแค่ในภาพยนตร์ ละครย้อนยุค การถ่ายภาพแฟชั่นต่าง ๆ เท่านั้น ต้องยอมรับว่าแฟชั่นนี้ดูสวยสง่ามาก แต่ก็สยดสยองมากเช่นกัน ไม่เพียงแค่ทำให้เกิดเหตุการณ์สลดใจเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้สวมใส่ด้วย Source: Pixabay โดย 5SpecialMinuites บิ๊กอายยุควิกตอเรีย แฟชั่นสุดท้ายนี้อาจไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากเท่ากับแฟชั่นอื่น ๆ ที่กล่าวมาด้านบน สำหรับยุควิกตอเรียนั้น นอกจากจะมีแฟชั่นการแต่งกายแล้ว ยังมีแฟชั่นความงามบนเรือนร่างอีกด้วย คือ ดวงตา ปฏิเสธไม่ได้ว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ เป็นสิ่งที่แสดงความรู้สึกและดึงดูดความสนใจได้สูง ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดความนิยมในการมีดวงตาที่กลมโตเป็นประกายสวยงาม ในยุคนัั้นนิยมใช้น้ำคั้นจากผลเบอร์รีชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า เบลลาดอนนา หยอดดวงตาส่วนที่เป็นตาดำ เพื่อให้รูม่านตาขยายจนเห็นดวงตาดำกลมโตสดใส นอกจากการนำน้ำเบลลาดอนนามาหยอดดวงตาแล้ว ยังนิยมนำมะนาวหรือส้มมาคั้นน้ำเพื่อหยอดตาอีกด้วย Source: Pixabay โดย PublicDomainPictures ดูไปแล้วแฟชั่นนี้ก็คล้ายกับการใส่คอนแทคเลนส์แบบบิ๊กอายในสมัยนี้เลยนะคะ แต่ช้าก่อน เบลลาดอนนา เป็นพืชที่พิษอยู่ในทุกส่วนของต้น และพบพิษเป็นจำนวนมากที่ผล ซึ่งก็คือส่วนที่นำมาคั้นเป็นน้ำเพื่อหยอดดวงตา นอกจากมีผลทำให้รูม่านตาขยายแล้ว ยังอาจทำให้ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด หากใช้กับคนที่เป็นต้อหิน อาจส่งผลให้ตาบอดได้ และยังมีผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้แก่ หน้ามืด เวียนหัว หัวใจเต้นผิดปกติ หายใจลำบาก และอาจถึงตาย ในปัจจุบัน แฟชั่นดวงตากลมโตนั้นยังมีอยู่ แต่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำให้ดวงตากลมโต จากหาน้ำแปลก ๆ มาหยอดดวงตา เป็นใส่คอนแทคเลนส์แบบบิ๊กอายแทน ซึ่งผู้เขียนก็รู้สึกสยองพอ ๆ กับการหยอดตาในอดีต คุณรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า ว่าผู้หญิงที่มีดวงตากลมโตนั้นดูสวยน่ารัก แต่เบื้องหลังนั้นดูน่ากลัวอย่างไรก็ไม่รู้ เป็นอย่างไรบ้างคะ กับเบื้องหลังของแฟชั่นทั้ง 4 ที่นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ เชื่อว่าผู้อ่านหลาย ๆ คน คงรู้สึกขนลุกกับความสวยงามของแฟชั่นในอดีต ที่แลกมาด้วยความเจ็บปวดทรมาน หรือเกิดเหตุการณ์สยดสยองตามมา และได้แต่ภาวนาว่า อย่ากลับมาเป็นที่นิยมในปัจจุบันอีกเลย ผู้เขียนคิดว่า แฟชั่นในอดีตนั้นเกิดจากวัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยมบางอย่างที่คนสมัยนั้นเห็นพ้องต้องกันว่าดีงาม แฟชั่นบางอย่างเป็นส่วนหนึ่งของจารีตประเพณีที่ต้องยึดถือปฏิบัติมากกว่าการสมัครใจ แต่ในยุคสมัยนี้ แฟชั่นความงามไม่ใช่สิ่งที่สามารถบังคับให้ปฏิบัติตามได้ เราสามารถเลือกทำหรือไม่ทำได้ตามความสมัครใจของตนเอง ด้วยเหตุนี้ แฟชั่นสุดสยองในอดีต จะไม่กลับมาเป็นที่นิยมในปัจจุบันอย่างแน่นอน เพราะความงามเราเลือกได้ ไม่จำเป็นต้องตามกระแสแฟชั่นค่ะ ภาพปก : Pexel โดย Godisable Jacob