อื่นๆ

ความสำเร็จอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น

4.8k
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ความสำเร็จอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น

    ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้ยินคำพูดที่ผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนมักจะสอนเรามาตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็กๆ เป็นคำพูดคลาสสิกที่ว่า “ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ” ซึ่งก็ความหมายตรงตัวเลยว่า ถ้าหากเรามีความเพียรพยายามอย่างเต็มที่สุดท้ายแล้วมันจะนำพาให้เราไปสู่การประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ของชีวิตได้ จึงทำให้ผู้ใหญ่หลายๆ ท่านพยายามปลูกฝังเรื่องนี้กับเรา แต่สิ่งหนี่งที่ลืมสอนเราไปก็คือ ความสำเร็จที่รออยู่นั้นคืออะไร ? 

ภาพจาก https://www.pexels.com/th-th/photo/1424745/


    การที่เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น สิ่งที่เราทุกคนควรรู้เป็นอันดับแรกเลยก็คือ ความสำเร็จที่เราต้องการอย่างแท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่ และมันจะเป็นความสำเร็จที่จะนำพาให้เรามีความสุขในชีวิตด้วยหรือไม่ การซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราควรที่จะหมั่นหย่อนคำถามนี้ลงไปในใจของเราว่า “อะไรที่เราทำแล้วมีความสุข” หลายต่อหลายคนพยายามโดยที่ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของตนเอง และไม่รู้ว่าอะไรที่พวกเขาทำแล้วมีความสุขกันแน่ บางคนก็อาจจะตั้งเป้าหมายตามคนอื่นเพราะเห็นคนนั้นทำแล้วได้ผลดี ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดหากมันทำให้คุณมีความสุขในชีวิตได้ แต่สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่ให้คนอื่นมาตั้งเป้าหมายในชีวิตให้เรา ยอมให้คนอื่นกำหนดทางเดินให้ชีวิตเราและให้เราทำตามในสิ่งที่เขาคิดว่าดีซึ่งผลที่ได้ก็คือ การไม่มีความสุขในชีวิต ไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงาน และการที่จะพยายามมันช่างฝืนจิตใจเหลือเกิน หากเราอยากเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็จงอย่าพึ่งพาหนทางที่ผู้อื่นคิดว่าดีเลย เพราะสิ่งที่คนอื่นทำแล้วดี ก็ใช่ว่ามันจะดีสำหรับเราเสมอไป คนเรามีความถนัดที่ต่างกัน มีความชอบที่ต่างกัน หาหนทางของตัวเองให้เจอย่อมดีที่สุด

Advertisement

Advertisement

จงตั้งเป้าหมายตามความต้องการของตนเอง ไม่ใช่ตามความต้องการของผู้อื่น

ภาพจาก https://www.pexels.com/th-th/photo/212286/


    วิธีการที่เราจะหาหนทางให้ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนได้นั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสสอนไว้ในหลักของ อิทธิบาท 4ไว้แล้ว ซึ่งเป็นคุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จ ประกอบไปด้วย

  1. ฉันทะ (ความรักใคร่ในสิ่งที่ทำ) 
  2. วิริยะ (ความพยายาม)
  3. จิตตะ (ความตั้งใจ)
  4. วิมังสา (พิจารณาไตร่ตรอง)

จะเห็นได้ว่าสิ่งแรกที่ควรพิจารณาก่อนเลยก็คือ “ ฉันทะ หรือ ความรักใคร่ในสิ่งที่ทำ ” เพราะการที่เรารู้ความต้องการของตนเองถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด รู้ว่างานอะไรที่ทำแล้วเรามีความสุขขณะที่ได้ทำนั้นเลย โดยที่ไม่ต้องรอให้เงินเดือนออกแล้วค่อยเอาเงินไปหาความสุขทีหลัง งานที่เราทำมันได้อย่างเพลิดเพลินจนลืมเรื่องเวลาไปเลย เพราะหากเรามีความสุขและมีเวลาอยู่กับงานที่เรารักได้ตลอดเวลาย่อมเกิดความเชี่ยวชาญและสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน การที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นก็เป็นไปไม่ยาก 

Advertisement

Advertisement

ภาพจาก https://www.pexels.com/th-th/photo/3795280/


เปรียบเทียบกับการที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก ขณะที่ทำก็รู้สึกเบื่อหน่ายรอเวลาที่จะเลิกงาน พอถึงเวลาเลิกงานทุกอย่างคือจบ ไม่มีความคิดที่อยากจะทำต่อ เมื่อไม่มีความรักก็จะไม่พัฒนาให้มันดีกว่าเดิมแน่นอน งานที่ได้ก็ไร้คุณภาพ การที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย 

ภาพจาก https://www.pexels.com/th-th/photo/3755761/


ฉันทะ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าได้นำมายกให้พิจารณาก่อนข้ออื่นๆ เพราะหากไม่เกิดความรักในสิ่งที่ทำเราก็จะไม่พยายาม ไม่ตั้งใจ และไม่พัฒนาให้ดีขึ้น ดังนั้นเป้าหมายชีวิตของเราควรตั้งอยู่บนหลักการของอิทธิบาท 4 เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงสุดกับชีวิต และมีความสุขอย่างยั่งยืนได้ 

ภาพจาก https://www.pexels.com/th-th/photo/40815/

Advertisement

Advertisement


    ท้ายที่สุดนี้ผมอยากจะบอกว่าการปลูกฝังเรื่องความพยายามนั้นเป็นสิ่งที่ดีและสำคัญก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมที่จะตั้งเป้าหมายก่อนที่เราจะพยายาม เพราะจะทำให้เราพยายามอย่างถูกที่ ถูกเวลา จะไม่ทำให้เสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ไปกับสิ่งที่มันไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายในชีวิตเรา เพื่อให้เราก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จที่เราหวังไว้ได้เร็วยิ่งขึ้น หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้รับข้อคิดดีๆ จากบทความนี้และนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดความสุขในชีวิตด้วยกันทุกท่านนะครับ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์