ข่าวสาร
คิดถึงวิทยาลัย...คิดถึงศาสนศึกษา (CRS MU)

ผู้เขียนได้ไปอบรมเชิงปฏิบัติการแนวปฏิบัติธรรมอีกครั้ง ที่ World Peace Valley จังหวัดนครราชสีมา ใช้ชุดการเข้าอบรมเน้นสีขาวหรือสุภาพเป็นหลัก เพราะเป็นสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมโดยตรง เป็นเวลา 3 วัน มีโอกาสฟังธรรมะจากพระอาจารย์หลายรูป ส่วนอาหารบริการแค่มื้อเช้ากับเที่ยงเท่านั้น
เลยทำให้นึกถึงสมัยที่เรียนระดับอุดมศึกษา เมื่อปี 2546 - 2550 (เมื่อ 20 ปีมาแล้ว) ที่วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล หรือใช้ชื่อในภาษาอังกฤษว่า College of Religious Studies (ตัวย่อว่า CRS) เพราะบรรยากาศอาคารสถานที่มีความใกล้เคียงกับสถานศึกษาที่เคยเรียนมาเมื่อครั้งเป็นพระนักศึกษาวิชาศาสนาและปรัชญา เพราะมีพื้นที่โล่งตรงกลางอาคาร มีต้นไม้ ทางเดิน และระเบียงที่สามารถมองไปด้านตรงข้ามได้ มีโรงอาหารอยู่ด้านล่าง มีความโปร่ง โล่ง เหมาะกับการเรียนรู้อย่างมาก
Advertisement
Advertisement
วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นสถานศึกษาแรกๆ ของประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี พุทธศักราช 2542ที่มีเรียนร่วมระหว่างนักศึกษาทั่วไปกับนักบวชทั้งพระสงฆ์ สามเณร ทุกนิกาย แม่ชี รวมทั้งผู้ใหญ่ที่สนใจด้านศาสนาและปรัชญา นับถือศาสนาอื่นๆ ก็มาเรียนร่วมกันได้ จนเกิดคำถามจากหลายๆ คนว่า "มาเรียนคณะนี้ จบไปจะไปทำงานอะไร?" บ้างก็ว่าเรียนจบก็เป็นนักบวชต่อเลย บ้างก็ว่าไปเป็นครูศีลธรรม บ้างก็ว่าเป็นนักวิชาการด้านศาสนา ฯลฯ แต่เท่าที่ทราบเพื่อนๆ รุ่นพี่รุ่นน้องก็สามารถทำงานได้หลากหลายอาชีพ (กรณีไม่ใช่นักบวช) ทั้งข้าราชการครู วิชาสังคมฯ วิชาภาษาอังกฤษ ครูภาษาเกาหลี เป็นไกด์ เป็นติวเตอร์ เป็นแอร์โฮสเตส เป็นข้าราชการทหาร เปิดร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่วงการแพทย์ ฯลฯ
ถือว่ามีความหลากหลายอยู่ที่การไปต่อยอดของแต่ละคน ส่วนที่เป็นนักบวชก็ทำหน้าที่สืบพระศาสนาตามปกติไป ไม่จำเป็นว่าต้องทำงานสายศาสนาอย่างเดียวก็ได้ เพราะในวิชาพื้นฐานก็มีทั้งภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์ และความรู้แต่ละศาสนา สอนโดยคณาจารย์จากหลายๆ ที่ทั้งในไทยและต่างประเทศ บางวิชาอาจารย์ต่างชาติเป็นผู้สอนโดยตรง บางวิชาก็ต้องลงภาคสนามเกี่ยวกับศาสนสัมพันธ์ชุมชน ไปศึกษาวิถีชีวิตของศาสนาอื่นเพื่อศึกษานอกห้องเรียน ก่อนจบนักศึกษาแต่ละคนก็ต้องทำสารนิพนธ์กันคนละเล่มอีกด้วย แต่ละรุ่นที่สำเร็จการศึกษาก็กระจายกันไปทำหน้าที่ทั้งในส่วนของนักบวชและฆราวาสทั่วประเทศไทย บ้างก็ศึกษาต่อ บ้างก็ทำงานตามที่ตนเองถนัดแม้ไม่เกี่ยวกับที่เรียนมาก็ตาม
Advertisement
Advertisement
นอกจากนี้ก็ยังมีโครงการบัณฑิตอาสาที่จะส่งผู้สำเร็จการศึกษาไปสอนศีลธรรมตามโรงเรียนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ให้นักเรียนได้เรียนรู้คำสอนศาสนาพร้อมๆ กับการใช้ชีวิตที่เหมาะสมในยุคปัจจุบัน
แม้ว่าวิชาเกี่ยวกับศาสนา ดูเหมือนจะสร้างอาชีพไม่ได้ในสายตาคนทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิชาเกี่ยวกับศาสนาเป็นเรื่องของความสมดุลในการใช้ชีวิต เป็นการปรับตัวในการใช้ชีวิตที่เหมาะสม เพราะสังเกตว่าทุกวงการ หน่วยงานก็เน้นย้ำเรื่องศีลธรรมในการทำงาน จึงมีการให้มีการส่งพนักงานหรือบุคลากรไปอบรมเชิงปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ
วิชาที่เรียนมาจึงยังมีความสำคัญกับการใช้ชีวิตในทุกๆ วันอยู่เสมอ อาจจะไม่ใช่เนื้อหาที่เรียน แต่เป็นการปรับ ประยุกต์ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่ศึกษาอยู่และหลังออกจากวิทยาลัยไป เพราะเป็นโลกของความเป็นจริงที่กว้างใหญ่และเป็นของจริงที่ต้องนำภูมิคุ้มกันมาใช้จนเกิดความสมดุลในชีวิตให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
Advertisement
Advertisement
ทุกภาพประกอบ โดยผู้เขียน
ตกแต่งภาพปกและขอบคุณ Canva
เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
ความคิดเห็น






