อื่นๆ
คุณครูครับ ช่วยผมด้วยนะครับ

อันความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
ที่มา: บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จากบางส่วนของบทละครเรื่อง เวนิสวาณิช
ถ้าคุณยังไม่ได้อ่าน เรื่องแผ่เมตตา แนะนำให้เปิดไปอ่านก่อนนะคะ เพราะนี้เป็นเรื่องราวต่อเนื่องจากตอนแผ่เมตตาค่ะ
บุพกรรม ทำให้ดิฉันเกิดมามองเห็นผี เป็นคุณสมบัติติดตัวที่น่ารังเกียจและสร้างความทุกข์ ให้กับดิฉันต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่จำความได้ เมื่อตอนเด็กๆ วันพระเป็นวันที่ฉันเข้าใจว่า พระจะคุ้มครองเราเป็นพิเศษ เราสามารถนอนหลับได้โดยไม่ต้องกังวลว่าผีจะหลอก ถึงจะมีแค่เดือนละไม่กี่ครั้ง ก็ยังดีกว่าไม่มีวันสบายใจใดๆ เลย แต่เมื่อพิจารณาให้ดีๆ แล้ว วันพระนี่เอง ที่เจอผีมาโดยตลอด… มิน่าหละเราจึงควรที่จะถือศีลแปดกันในวันพระ จะได้มีบุญกุศลเผื่อแผ่แก่ผีๆ ที่มาเยี่ยมเยือน
Advertisement
Advertisement
ตั้งแต่ที่ต้องแยกมานอนคนเดียว ดิฉันก็เจอผีหลอกหลอนทุกสัปดาห์ จนเกลียดการนอนคนเดียว เกลียดชีวิตตัวเองที่เจอผี เกลียดที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครเห็นใจ ว่าการเจอผีมันน่ากลัวแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องจากบ้านเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ก็ดันมามีรูมเมทที่ชอบฟังวิทยุรายการผี เรียกว่าเจอผีเองยังไม่พอ ต้องมาทนฟังเรื่องผีของคนอื่นเข้าไปอีก
การนอนยังคงเป็นปัญหาสำคัญในชีวิต สำหรับคนเรียนศิลปะการได้ทำงานศิลปะคือความสุขในชีวิต แต่เวลานอนก็แทบจะไม่มี ยิ่งวันไหนๆ เหนื่อยจนเหมือนใจจะขาด แล้วยังต้องมาถูกซ้ำเติมด้วยเจอผีรบกวนการพักผ่อนเข้าไปอีก การมองเห็นวิญญาณ จึงไม่ใช่คุณสมบัติที่อย่างมีติดตัวเลยแม้แต่น้อย
ดิฉันเป็นคนพูดน้อย ยิ่งเวลาไปวัด ยิ่งไม่อยากพูดคุยกับใครเลย แต่ในที่สุดดิฉันก็เอ่ยปากถามหลวงพ่อ ว่ามีวิธีไหน ที่จะทำให้ไม่เจอผี คำตอบของหลวงพ่อ ไม่เป็นเหมือนปริศนา ที่ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย ก่อนที่จะรู้
Advertisement
Advertisement
“ไม่มีหรอก เขามาก็แผ่เมตตาให้เขาไป เดี๋ยวก็จะชินไปเอง” คือ คำตอบที่หลวงพ่อให้ไว้ เมื่อหลายปีก่อน
ด้วยจริตนิสัยที่เป็นคนขี้รำคาญ แม้จะทำบุญ แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลไปเท่าไหร่ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดความเคยชิน กับการต้องเจอผีทุกๆ สัปดาห์ได้เลย “เมตตาไม่ลงจริงๆ เจ้าค่ะ หลวงพ่อ” คือสิ่งที่ดิฉันระลึกในใจเสมอ หลังจากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เหล่าผีๆ
ทุกๆ ครั้งที่ดิฉันกลับไปเยี่ยมบ้านในวันหยุดยาว ดิฉันจะชวนพ่อกับแม่ไปทำสังฆทานเสมอ วัดของหลวงพ่อเป็นวัดป่า ที่สร้างอยู่ติดกับป่าช้า ไม่มีไฟฟ้า และใช้น้ำบาดาล แม้จะศรัทธาหลวงพ่อเพียงใด ดิฉันก็ใจไม่กล้าพอที่จะมาอยู่วัดปฏิบัติธรรมที่วัดหลวงพ่อเลยจริงๆ กลัวผีที่วัดหลวงพ่อจริงๆ ใครๆ ก็พูดว่าเจอผีกันเป็นประจำ
ในยุคนั้น ราคาตั๋วเครื่องบิน พอๆ กับเงินค่าขนมที่ดิฉันได้รับจากพ่อกับแม่ต่อเดือน การเดินทางไปกลับระหว่างบ้านนอกและกรุงเทพฯ จึงต้องเดินทางด้วยรถโดยสารเท่านั้น ตอนเด็กๆ ดิฉันชอบไปเที่ยว ชอบนั่งรถทัวร์ เพราะจะได้ดูหนังที่ไม่เคยดู ไปชมวิวข้างทาง ได้กินขนมที่แจกบนรถทัวร์ แต่เมื่อโตขึ้นเรื่องราวกลับตาลปัตรเป็นคนละเรื่อง การที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ทำให้ดิฉันกลายเป็นคนไม่ชอบเที่ยว เพราะการออกท่องเที่ยวนั่นหมายความว่าต้องมีการเดินทางมาเกี่ยวข้อง ดิฉันรู้สึกว่าเราใช้เวลาบนรถมามากพอแล้ว ไม่ไหวแล้ว ชอบอยู่กับที่ การนั่งรถโดยสารข้างๆ คนที่เราไม่รู้จัก เป็นเรื่องอึดอัดเสมอ บางครั้งคนข้างๆ ก็ชวนคุยตลอดเวลา ทั้งที่เราอยากจะพักผ่อน จะลุกหนีไปไหนก็ไม่ได้ บางคนก็นอนกรนเสียงดัง บางคนก็นั่งเบียด แถมเก้าอี้นั่งก็ไม่เข้ากับสรีระ นั่งอย่างไรก็ไม่สบาย ทำให้เจ็บหัวเข่าเมื่อแก่ตัวมา หัวเข่าจึงพังก่อนเพื่อนในวัยเดียวกัน
Advertisement
Advertisement

เวลาผ่านไปนับสิบปี ชีวิตดิฉันยังคงวนเวียนอยู่ระหว่างบ้านนอก และกรุงเทพมหานคร หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ออกไปทำงานได้สักพัก ก็ได้รับทุนเรียนต่อในระดับปริญญาโท แต่ชีวิตในช่วงนี้ดีขึ้นหน่อย เพราะรถโดยสารเจ้าประจำของดิฉันมีการปรับปรุงให้มีรถโดยสารชนิดพิเศษ มีเบาะที่นั่งเดี่ยว ทำให้ดิฉันสามารถตัดปัญหากวนใจสารพัดจากเพื่อนร่วมทางเบาะข้างๆ ไปได้ทั้งหมด
แต่ไม่สามารถตัดปัญหาข้างทางได้ค่ะ
ดิฉันขึ้นรถรอบดึก เพื่อที่จะมาถึงกรุงเทพฯในเวลารุ่งเช้า โดยอาศัยการนอนพักบนรถโดยสาร ซึ่งดิฉันสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจไร้ปัญหาในการนอน เพราะอุ่นใจมีเพื่อนร่วมทางเยอะ จนทำให้ชะล่าใจ…

ในคืนนั้นดิฉันสวดมนต์ในใจ หลับตาลง นับลมหายใจ และหลับไปอย่างง่ายดาย
ดิฉันฝันว่าตัวเองยืนอยู่ริมถนนในตอนกลางวัน มีเด็กชายตัวเล็กๆ หน้าตาธรรมดาๆ ผิวคล้ำตัดผมเกรียน ใส่ชุดนักเรียนชั้นอนุบาล สวมผ้ากันเปื้อนสีม่วง เด็กชายยืนส่งยิ้มเขินอายผ่านใบหน้าเล็กๆ ที่ถูกปะด้วยแป้งสีขาวที่แก้มทั้งสองตามแบบฉบับของเด็กเล็กในโรงเรียนภูธร ดิฉันยิ้มตอบ ในใจไม่ได้คิดสงสัยหรือรู้สึกอะไร เพราะปกติไม่ใช่คนรักเด็ก หรือชอบเล่นกับเด็ก แม้จะเคยฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู แต่ดิฉันก็สอนเด็กมัธยมปลาย การเข้าไปพูดคุยทักทายกับเด็กเล็ก จริงไม่ใช่ปกติวิสัยของดิฉัน
เด็กชายละสายตาจากดิฉันแล้วมองไปที่ท้องถนน
ดิฉันหันมองตามไปที่ท้องถนน ยังไม่ทันจะหันไปมองได้เต็มตา
พลันร่างน้อยก็ถูกกระแทกเข้าด้วยรถกระบะคันหนึ่งที่พุ่งตรงมาจากถนนด้วยความเร็วสูง
ฉันตกใจสุดขีดพยายามเอื้อมมือออกไปคว้าตัวของเด็กชายตัวน้อย เข้ามา...

แต่มือของฉันคว้าได้แค่ความว่างเปล่า เหมือนเราอยู่กันคนละมิติ
สายตาของฉันจ้องมองไปที่ร่างเล็กๆ ที่กำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ด้วยแรงปะทะของเครื่องยนต์
ภาพเหตุการณ์นั้นฉายขึ้นตรงหน้าอย่างช้าๆ ร่างของเด็กน้อยที่เพิ่งส่งยิ้มให้กับดิฉันด้วยความไร้เดียงสา บัดนี้กลายเป็นชิ้นเนื้อรุ่งริ่งแตกกระจาย มีเลือดสีแดงฉานกระซ่านกระเซ็นไปทุกทิศทาง หัวใจของฉันแหลกสลาย ฉันกรีดร้องไม่เป็นเสียง ภาพที่เห็นตรงหน้ามันโหดร้ายเกินกว่าฉันจะทำใจยอมรับได้ น้ำตาของฉันไหลนองหน้า ฉันได้ยินเสียงตัวเองสะอึกสะอื้นดังก้องไปทั่วด้วยความเจ็บปวดใจ
“คุณครูครับ ช่วยผมด้วยนะครับ”
ฉันปล่อยโฮ ร้องไห้เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะแตกสลาย และตื่นขึ้นในความมืดพร้อมกับน้ำตาอาบสองแก้ม
บนท้องถนนที่มืดมิดนั้น ยังมีเด็กชายตัวน้อยในชุดอนุบาล ที่ยังคงไม่ได้กลับบ้าน เขาจะหวาดกลัวมากเพียงไหน ที่ต้องยืนรอพ่อแม่อยู่เพียงลำพัง วันแล้ววันเล่า… ความไร้เดียงสาให้เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าทำไมเขายังคงต้องยืนรอพ่อกับแม่อยู่ตรงนี้ ฉันร้องไห้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่เงียบๆ
กำแพงแห่งความเกลียดชังได้ถูกพังทลายลง
ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่า ว่าผีเลือกไม่ได้หรอกว่าตัวเขาจะมาให้เราเจอในรูปแบบไหน เขาพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ที่จะขอความช่วยเหลือจากใครสักคน ที่จะสามารถช่วยเหลือเขาให้พ้นจากทุกข์ที่แสนจะทรมาน ทุกข์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่มีแม้สักเสี้ยววินาที ที่ความระทมนั้นจะเบาบางลง คงไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้สึกว่าการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ไม่ถือเป็นความทุกข์แต่อย่างใด
คนธรรมดาอย่างพวกเราๆ ยังมีช่วงเวลาแห่งความสุข ให้ใจชุ่มชื่น และมีร่างกายที่สามารถประกอบกิจกุศลด้วยตนเองได้ แม้ฉันจะยังไม่ถูกใจกับคุณสมบัติที่กรรมเก่าส่งมาให้ในชาตินี้ และยังต้องการนอนหลับอย่างสงบสุข แต่ความเกลียดชังก็เบาบางลงด้วยความเห็นใจ
ณ วันที่ดิฉันเขียนเรื่องราวนี้ เด็กชายตัวเล็กยังคงยืนอยู่อย่างเดียวดาย มีทั้งรอยยิ้ม รอยน้ำตา และความเดียวดาย ใจที่ผูกติดอยู่กับการรอพ่อและแม่ ทำให้เขายังคงยืนรออยู่ที่เดิม บุญกุศลที่พ่อแม่และทุกๆ คนทำให้ ส่งผลให้เขาไม่ต้องอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา ยังคงเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาเฉกเช่นวันสุดท้ายที่เขายังมีลมหาย เมื่อใดที่เขาปล่อยวางความยึดมั่นลงได้ เขาก็จะสามารถเคลื่อนภพออกจากความเปลี่ยวเหงานั้นลงได้ ถ้าคุณทำบุญสร้างกุศลเมื่อใด ก็ขอให้ระลึกถึงเด็กชายตัวเล็กๆ คนนี้ด้วยนะคะ ขอให้บุญกุศลนั้นนำพาให้เขาปล่อยวางจากความยึดมั่น ที่จองจำเขาเอาไว้ได้โดยเร็วพลัน และขอให้พวกคุณทุกคนใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง ไม่ขับรถด้วยความคึกคะนอง ไม่ขับรถหลังจากดื่มสุราของมึนเมา ทั้งตัวคุณและผู้ร่วมทาง ทุกคนต้องการกลับบ้านไปสู่อ้อมกอดที่อบอุ่นของคนที่เขารักกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีลมหายใจหรือไม่ก็ตาม
ในที่สุด ดิฉันก็สามารถแผ่เมตตาได้สำเร็จแล้วค่ะ
*ภาพปก ภาพประกอบบทความ โดยผู้เขียน
ความคิดเห็น






