ไลฟ์แฮ็ก

ชีวิตต้นทุนต่ำ ทำยังไงจะรอด

219
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ชีวิตต้นทุนต่ำ ทำยังไงจะรอด

เรามักจะได้ยินคำว่า คนเรามีต้นทุนชีวิตที่ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าคำพูดนี้เป็นความจริงที่ไม่มีใครเถียงได้ แต่ถ้าเรามัวแต่ยึดติดกับความคิดว่าเราไม่มีทุน  เราก็คงไม่สามารถก้าวพ้นภาวะอันแสนรันทดของชีวิตนั้นไปได้

ชีวิตต้นทุนต่ำ ทำอย่างไรจึงจะรอด

เนื่องจากวันนี้เย็น เพื่อนสาวที่เธอประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ได้โทรมาปรึกษาว่า เผอิญมีคนจะให้ความช่วยเหลือให้เงินส่วนหนึ่งสำหรับลงทุนทำอะไรสักอย่าง  เธอก็มีความกังวลใจเป็นอย่างมากในการที่จะใช้งบประมาณที่แสนจะจำกัดนี้ให้มันเกิดประโยชน์ สามารถหมุนเวียนและเลี้ยงตัวเองให้รอดไปแต่ละวันได้อย่างไร  เราก็ร่วมด้วยช่วยกันระดมสมอง วิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย และหาทางออกว่าทำอย่างไรดี  ก็เลยได้ข้อสรุปแนวทางสำหรับการดำรงชีวิต และเอาตัวรอดกับสภาวะนี้ได้อย่างไร  พอได้แนวทางแล้ว ผู้เขียนจึงเห็นว่า น่าจะเอามาแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านและลองวิเคราะห์ตามเพื่อเป็นแนวทางดูค่ะ 

Advertisement

Advertisement

ชีวิตต้นทุนต่ำ ทำอย่างไรจึงจะรอด

วิเคราะห์ตัวเอง   การวิเคราะห์ข้อจำกัดของตัวเอง จะทำให้เรารู้ว่า เรามีข้อจำกัดอะไรบ้าง  ถ้าเป็นหน่วยงานหรือองค์กรจะเป็นลักษณะของการทำ SWOT ชีวิตตัวเองนี่หล่ะค่ะ ลองมาวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส อุปสรรค ของตัวเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพียงแต่ทำให้มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ต้องเอาวิชาการมาจับแบบเป๊ะ ๆ ก็ได้ 

1) วิเคราะห์ข้อจำกัด รวมถึงข้อเสีย นิสัยเสียของตัวเอง 

  •  มีปัญหาสุขภาพ (เช่นเพื่อนผู้เขียน)   จึงไม่สามารถไปทำงานประจำได้  ก็ต้องทำงานอิสระอื่น ๆ เช่น ขายของ หรือทำธุรกิจออนไลน์อื่นๆ อาชีพอิสระ อื่น ๆ   
  •  ข้อจำกัดเรื่องการเงิน  ต้องทำธุรกิจโดยที่ใช้เงินน้อยที่สุด กู้ยืมน้อยที่สุด เพราะถ้าเจ๊งก็ไม่รู้จะหาไหนมาคืนเจ้าหนี้  ยิ่งยืมเพื่อนหรือญาติแล้วจะกลายเป็นเสียเพื่อน เสียญาติไปโดยที่เราเองก็ไม่ได้มีเจตนา 
  • ข้อจำกัดด้านครอบครัว เช่น มีพ่อแม่ หรือคนไข้ติดเตียง หรือต้องดูแลใครใกล้ชิดเป็นพิเศษ ออกไปทำงานนอกบ้านไม่ได้ 
  • ขับรถไม่เป็น มีปัญหาสายตา ขับรถไม่ได้ 

Advertisement

Advertisement

2) วิเคราะห์ความสามารถของตัวเอง  เรานี้มีดีอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง เช่น เขียนหนังสือได้ดี ก็ไปทำงานเขียน รับจ้างเขียนบทความ  มีความสามารถด้านภาษา ก็รับงานแปล งานสอนพิเศษ   ตัดเย็บเสื้อผ้าได้   ทำอาหารเก่ง  ปลูกต้นไม้เก่ง ก็ปลูกผักขายเป็นต้น  ในชีวิตคนเรา เราต้องทำอะไรเป็นสักอย่างหล่ะน่ะ  

3) วิเคราะห์ความเสี่ยงอื่น ๆ  เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ  ทำเล ที่ตั้ง จำนวนลูกค้า หรือเทศกาล  สิ่งที่มีผลทำให้ธุรกิจที่เราจะทำมันล้มเหลว  

4) วิเคราะห์ความเป็นไปได้ เช่น ขายอะไรคนถึงจะกิน  ลงรายละเอียดไปถึงแพคเกจ ที่จะลดต้นทุน   

5) วิเคราะห์ตลาด ใครคือลูกค้า เราจะไปหาลูกค้าได้อย่างไร ถ้าลูกค้าไม่มาหาเรา  เรื่องลูกค้าต้องให้ชัด ระบุให้ได้เลยว่า เราจะขายใคร เพื่อเราจะได้โฟกัสได้ถูกเป้าหมาย  

จากการวิเคราะห์ตัวเอง จะทำให้เรารู้ขีดจำกัด และความสามารถของเรา  อย่างกรณีเพื่อน เราก็พบว่า 

Advertisement

Advertisement

  1. เพื่อนมีปัญหาสุขภาพ ต้องพักผ่อนมาก ๆ ทำงานที่เพ่งนาน ๆ หรือนั่งอยู่กับที่นาน ๆ ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนอิริยาบท 
  2. ทุนที่จะลงทุนมีน้อยมาก ถึงมากที่สุด 
  3. เพื่อนทำอาหารได้ รสชาติดีพอสมควร มีฝีมือด้านความงาม และทักษะอื่น ๆ แต่ทักษะอื่น ๆ ต้องมีอุปกรณ์ที่มีราคาสูง จึงตัดออก
  4. เพื่อนทำขนมขาย และมีฐานลูกค้า แต่ไม่มาก

หาทางเลือก    การหาทางเลือกก็เหมือนการทำแผนยุทธศาสตร์และแผนกลยุทธ์    โดยกำหนดเป้าหมายชีวิตว่าเราอยากให้ตัวเองเป็นอย่างไร (Vision) มองไปข้างหน้า 3 วัน  3 สัปดาห์  3 เดือน 3 ปี  ค่อย ๆ ขยายออกไปค่ะ  สำหรับเป้าหมายของชีวิต หรือ  Vision  ของเรา เรากำหนดว่า เราจะต้องมีกินมีใช้ เอาชีวิตรอดโดยไม่ต้องเป็นหนี้  และไม่เบียดเบียนใคร   เมื่อกำหนด Vision ชีวิตเราได้แล้ว เราก็มาดูว่าเราจะไปสู่ชีวิตนั้นได้อย่างไร โดยการวางยุทธศาสตร์ชีวิต ซึ่งมีข้อเดียว คือ ต้องมีอาชีพมีรายได้ 

เมื่อยุทธศาสตร์ชีวิตได้กำหนดไว้ว่า ต้องมีอาชีพมีรายได้   เราก็มาวางกลยุทธ์กันแบบบ้าน ๆ ค่ะ  

กลยุทธ์ที่  1  การเช่าที่สำหรับขายของ อาจจะเสี่ยงตรงที่ไม่มีลูกค้ามาซื้อ หรือซื้อน้อย ไม่คุ้มค่าเช่าที่เสียไป ไป ๆ มา ๆ อาจจะได้แค่ค่าเช่าบ้าน ดังนั้นอะไรที่เสียเงิน เราจะไม่จ่ายโดยไม่จำเป็น จึงตัดการเช่าที่ขายของออก และเลิกเอาเวลาที่ต้องไปหาทำเลขายของ มาคิดว่าจะทำอะไรขายดี 

กลยุทธ์ที่ 2  เมื่อตัดหน้าร้านออกแล้ว เราต้องทำตัวเป็นหน้าร้านเอง โดยสร้างหน้าร้านที่หน้าเฟซบุคส์ โพสต์บอกไปเลยว่าพรุ่งนี้มีเมนูอะไร หรือเราจะขายอะไร และให้ลูกค้าสั่งแบบพรีออเดอร์เท่านั้น  เพื่อป้องกันของเหลือ 

กลยุทธ์ที่ 3 เราเลือกขายอาหาร เช้า ง่าย ๆ เช่น ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวไข่เจียว   และอาหารกลางวัน ประเภท ข้าวผัด ข้าวราดแกงหรือผัดง่ายๆ  เจาะจงกลุ่มลูกค้าสำนักงาน ที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือไม่อยากออกไปข้างนอก  และขายในราคาที่ไม่สูงมาก 

กลยุทธ์ที่ 4 ไม่ต้องรอสิ้นเดือน ไม่ต้องรอเงินสนับสนุน เริ่มจากทุนตั้งต้น 1,000 บาท พรุ่งนี้ลงมือลุยเลย คิดแล้วต้องทำ คิดแล้วไม่ทำมันจะได้แต่คิด ไม่เกิดประโยชน์และฟุ้งซ่านเปล่า ๆ 

กลยุทธ์ที่ 5 เวลาที่เหลือจากการส่งอาหาร ปลูกผักเพื่อสร้างรายได้เสริมอื่น ๆ เช่น ผักบุ้งงอก ถั่วงอก  พร้อมกับวางแผนการตลาดต่อไปเลยว่า เราจะหาลูกค้าได้อย่างไร  ซึ่งเราคิดว่า เราจะสอบถามร้านค้าต่าง ๆ ว่าต้องการผักประเภทนี้หรือไม่ ถ้ารับก็เอาไปส่ง หรือถามลูกค้าที่สั่งอาหารไปกินว่าต้องการมั้ย   รวมทั้งโพสต์ขายหน้าเฟสบุ้คส์และสื่อโซเชียลอื่น ๆ  สำหรับการปลูกผัก เราเน้นเรื่องการปลูกไว้กินเอง เหลือค่อยขาย 

นอกจากนี้ เรายังกำหนด KPI เพื่อเป็นตัวชี้วัดว่าสำเร็จหรือไม่ โดยกำหนดยอดขายว่าสามารถขายอาหารต่อเนื่องได้หรือไม่ หรือในเวลา 10 วัน ยังมียอดสั่งซื้อต่อเนื่องหรือไม่ ถ้าไม่มีต้องกลับมาทบทวนว่าเมนูไม่น่ากิน หรือรสชาติอาหารไม่ดี  ถ้าปรับปรุงแล้ว แล้วยอดขายไม่ดีขึ้น ก็เลิก ไปทำอย่างอื่น 

เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับแนวทางที่เราได้ประมวลมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งอาจจะไม่สมบูรณ์ เนื่องจากไม่ได้ใช้นักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยวิเคราะห์  แต่ก็จะพอเป็นแนวทางในการคิดที่จะลงทุน หรือทำอะไรสักอย่างที่จะทำให้เราคำนึงถึงอะไรหลาย ๆ อย่าง โดยอิงหลักของความเป็นจริงและข้อมูลรอบด้านก่อนจะตัดสินใจลงไป  และขอให้เพื่อน ๆ คิดว่า  ให้เราเสียใจที่อาจจะเลือกทางผิด แต่ดีกว่าเสียใจที่มีโอกาสแล้วไม่ได้ลงมือทำ  เพราะเมื่อเราทำอะไรไปแล้ว เราจะได้ประสบการณ์สำหรับที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง  เป็นกำลังใจให้นะคะ 

ชีวิตต้นทุนต่ำ ทำอย่างไรจึงจะรอด

ภาพและเรือง โดย ผู้เขียน 

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์