อื่นๆ
ชุดขาวปฏิบัติธรรม

วัดและสถานปฏิบัติธรรม เป็นสถานที่ ที่มีกิจกรรมก่อบุญสร้างกุศลอยู่เป็นประจำ เป็นแหล่งรวมของแสงสว่าง เป็นจุดมุ่งหมายของผู้ที่ค้นหาความสุข ความสงบ และสัจธรรมแห่งชีวิต แต่วัดและสถานปฏิบัติธรรม ก็ได้ขึ้นชื่อว่า เป็นสถานที่ ที่คนเจอผีกันบ่อยที่สุด เพราะที่ไหนมีแสงสว่าง ย่อมเป็นที่หมายของผู้ทุกข์ยาก และผู้ที่ทุกข์ยากกว่ามนุษย์ ย่อมเป็นผู้ที่มีภพภูมิลำบากกว่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือแม้แต่ เปรต และ อสุรกาย
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อดิฉันเริ่มตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง จึงเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับการปฏิบัติ และได้เที่ยวสอบถามผู้ที่เข้าวัดเข้าวามาก่อน เพื่อขอคำแนะนำ ฉันฟังสื่อธรรมะมากมายหลายหลาก อ่านหนังสือธรรมะมากมายหลายร้อยเล่ม เพื่อค้นหาคำตอบ และเพื่อทำความเข้าใจในการปฏิบัติให้ถูกต้อง ฉันออกเดินทางไปปฏิบัติธรรมยังสถานที่ต่าง ๆ รวมกับผู้ที่เดินทางสายนี้มาก่อน เพื่อตามหาครูบาอาจารย์ ที่จะสามารถอบรมสั่งสอน ให้ดิฉันเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องได้ มีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของฉันหลายคน ที่นั่งสมาธิปฏิบัติธรรม ฉันจึงได้นำสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเข้าไปปรึกษาหารือ ด้วยความหวังว่า เขาเหล่านั้นจะสามารถให้คำแนะนำแก่ฉันได้
Advertisement
Advertisement
"อาจารย์คะ หนูนั่งสมาธิแล้วตัวหายไป นั่งแป๊บเดียว แต่พอลืมตาขึ้นมา มันปาไป 4 ชั่วโมงแล้วอะคะ ต้องทำยังไงคะ" ฉันสอบถามอาจารย์ผู้ชื่นชอบการปฏิบัติธรรม ผู้นั่งสมาธิเป็นประจำทุกสัปดาห์
"เหรอ ไม่รู้ว่ะ ลองเอาซีดีสมถกรรมฐานอันนี้ไปฟังไป" อาจารย์กล่าว พลางก้มลงไปคุ้ยหาซีดีในลิ้นชักข้างโต๊ะทำงานขึ้นมาให้ เมื่อฉันนำกลับไปฟังและปฏิบัติตามแล้ว ก็ไม่พบว่าอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้หายไปแต่กลับทวีความแปลก มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
"อาจารย์ หนูเห็นแขนของตัวเองเป็นศพ ต้องทำยังไง" ฉันกลับมาปรึกษาอาจารย์อีกครั้ง ในการปรึกษาวิทยานิพนธ์ในสัปดาห์ถัดมา
"อะไรวะ อย่างนี้ไม่น่าจะดีแล้วนะ รีบไปหาครูบาอาจารย์สอนดีว่านะ เดี๋ยวเธอจะวิปลาสไปก่อน" อาจารย์ตกใจ พร้อมแสดงความห่วงใย
"ไปที่ไหนหละอาจารย์ ที่กรุงเทพฯ หนูไม่เคยไปวัดไหนเลย ไม่รู้จักพระรูปไหนเลย" ฉันถามต่อเพื่อขอคำแนะนำ เมื่อทราบว่าวัดที่อาจารย์ไปเป็นประจำ ไม่ถูกจริตของดิฉัน ดิฉันจึงปฏิเสธ และสอบถามผู้อื่น เพื่อค้นหาครูบาอาจารย์ ที่จะช่วยเหลือดิฉันได้
Advertisement
Advertisement
หลังจากนั้น ฉันก็ได้ไปปรึกษาเรื่องการปฏิบัติ กับอาจารย์อีกหนึ่งท่าน ซึ่งอาจารย์ได้ขับรถพาฉัน และเพื่อนสนิทของฉันอีกหนึ่งคน ไปกราบแม่ชีท่านหนึ่ง เพื่อปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ฉันงงและสงสัยในการกระทำหลาย ๆ สิ่ง ของคนในชุมชนนั้น ฉันผู้เพิ่งเริ่มต้นจะเป็นชาวพุทธ คิดว่าตัวเองคงยังมีความเข้าใจที่ไม่ดีพอ จึงไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติ แม้ไม่เข้าใจ และไม่เห็นด้วยในแนวทางการปฏิบัติ ของคนในชุมชนนั้น แต่ฉันก็ยังคงปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขา โดยไม่ต่อล้อต่อเถียง ตลอดระยะเวลาที่ไปวัดแห่งนี้ อยู่หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งลาขาดไปในที่สุด เพราะไม่ได้สามารถให้ความกระจ่าง หรือความก้าวหน้าในการปฏิบัติใด ๆ แก่ดิฉันได้เลย
อาจารย์คนเดิมที่พาฉันไปปฏิบัติธรรมที่วัด ได้กรุณาชวนฉันไปปฏิบัติธรรม ที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นสถานปฏิบัติธรรมของเอกชน โดยเล่าให้ฉันฟังว่า แนวทางปฏิบัติแนวทางนี้ เป็นแนวทางใหม่ ซึ่งพระ แม่ชีและคนรู้จักซึ่งอาจารย์รู้จักกัน จากวัดในกรุงเทพฯ ได้ไปศึกษามา และกล่าวว่าได้บรรลุแล้ว จึงได้นำมาแเผยแพร่ ณ สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้
Advertisement
Advertisement
ระหว่างที่ฟังการบรรยาย และฟังสื่อที่นำมาเผยแพร่ คำถามในใจของดิฉันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
"พระพุทธเจ้าสอนแบบนี้หรือ ไม่เห็นเหมือนที่เคยได้ยินได้ฟังมาเลย"
เมื่อวิทยากรเปิดโอกาสให้ถาม ดิฉันจึงได้ถามขึ้นว่า
"การหยาดน้ำ โดยที่ไม่คิดเป็นยังไงคะ และจะหยาดน้ำไปทำไม ถ้าทำไปโดยไม่มีวัตถุประสงค์ ไม่มีประโยชน์ เททิ้งไปในที่ที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เอาไปรดน้ำต้นไม้ก็ไม่ได้เหรอคะ" แทนที่จะได้คำตอบ วิทยากร กลับตำหนิดิฉันว่า
"คุณน่ะเต็มไปด้วยความสงสัย ความสงสัยของคุณตั้งซ้อนกัน จนเต็มไปหมดแล้ว สูงจนไม่เห็นยอดแล้ว มัวแต่คิดแบบนี้ก็ไม่พ้นต้องได้กลับมาเกิดอีก เราต้องไม่ทำอะไรเลย ไม่เป็นอะไรเลย แล้วจะเข้าใจ"
ดิฉันรู้สึกว่าไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ถ้าต้องเกิดมาอีก เพราะในชาตินี้ก็เป็นชาติที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่เกิดมา ดิฉันเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะรับฟังคนอื่น เพราะมีพื้นที่ในใจสำหรับรองรับ ความแตกต่างระหว่างมนุษย์ ที่กว้างใหญ่พอสมควร แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่วิทยากรนำเสนอ และพยายามถามเพื่อทำความเข้าใจให้กระจ่างแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ดิฉันจึงเลือกที่จะทำตามแต่ตัว ทั้งที่ใจไม่ได้คล้อยตาม
ทุก ๆ อย่างเกือบจะผ่านพ้นไปด้วยความราบรื่น หากในคืนนั้น ไม่มีคณะผู้เดินทาง เข้ามาร่วมรับฟัง แนวทางการปฏิบัติแนวใหม่นี้ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งกลุ่ม

พวกเรานั่งขัดสมาธิล้อมเป็นวงกลมอยู่บนพื้น ดิฉันนั่งอยู่ข้าง ๆ อาจารย์ และถัดไปเป็นคุณพ่อคุณแม่ของอาจารย์ เมื่อได้ยินเสียงรถ และแสงไฟหน้ารถดับลง เด็กหญิงวัยประมาณ 8-9 ปี สวมชุดขาวปฎิบัติธรรม ด้วยเสื้อแขนสั้น และกางเกงขายาวสีขาว เสื้อผ้าของเธอยังมีสภาพใหม่ ยังคงมีสีขาวอมฟ้า เนื้อผ้ายังไม่นิ่มดี เหมือนเพิ่งผ่านการซักเพียงไม่กี่ครั้ง ผิวกายของเธอมีสีเข้ม หน้าตาของเธอเหมือนกับเด็กชาวบ้านธรรมดา ๆ ดวงตาของเธอแวววาวสุกใส เปี่ยมด้วยพลังและความร่าเริง เธอตัดผมหน้าม้าเสมอคิ้ว ผมตรงสั้นเรียบเสมอติ่งหู ตามฉบับเด็กนักเรียนต่างจังหวัด เธอวิ่งนำหน้า ผู้ใหญ่ ที่คงกำลังสาละวนกับการจัดแจงข้าวของอยู่ เข้ามารอในห้องปฏิบัติธรรม ก่อนผู้ใหญ่ มาถึงแล้วก็นั่งพับเพียบเรียบร้อยลงบนเบาะที่นั่ง ซึ่งห่างจากดิฉันไปประมาณ 2 วา โดยหันหน้าออกไปมองกลุ่มผู้ใหญ่ ที่อยู่ด้านนอกด้วยความสนอกสนใจ ฉันเดาเอาเอง ว่าเธอคงลุ้น ว่าเมื่อไรพวกผู้ใหญ่จะเข้ามาเสียที เมื่อทุกคนเข้ามาเรียบร้อยแล้ว พวกเราทั้งหมดได้นั่งฟังวิทยากรบรรยายอีกหนึ่งครั้ง โดยวิทยากรยังคงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาทีหลัง ได้สอบถามวิทยากรได้ ผู้ที่มาใหม่ซึ่งประกอบด้วยชายวัยกลางคนผิวสีคล้ำ สุภาพสตรีซึ่งเป็นคุณแม่ของเขา ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายคุณยายใจดี มีผมสีขาวและเทาทั้งศรีษะ จึงได้สอบถาม ว่าแนวทางการปฏิบัตินี้เป็นอย่างไร และกล่าวว่าจะรับฟังไว้ แต่คงจะปฏิบัติในแนวทางเดิม ทั้งสองคนสอบถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนที่จะขอลากลับ โดยที่ไม่อยู่ปฏิบัติในแนวทางนี้
ทั้งสองคนได้พูดคุยสอบถามดิฉัน ว่าเคยพบกันที่ไหนมาก่อนหรือไม่ ปกติไปที่วัดไหน เพราะคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกิน ฉันจึงตอบไปว่าปกติอยู่ที่กรุงเทพฯ และไปทำวัตรเย็น ที่วัดใจกลางเมืองกรุงเทพฯ อยู่เป็นประจำ แต่ไม่เคยทักทายใครเลย เพราะไปคนเดียวเงียบ ๆ ระหว่างกลุ่มผู้มาใหม่ กำลังจะกลับ อาจารย์ของดิฉัน ก็กล่าวถามถึงเด็กหญิงที่มาด้วยกัน ว่าไปไหนเสียแล้ว เมื่อกี้ยังนั่งอยู่เลย
"ผมมากันแค่สองคนครับ มีแค่ผมและแม่" ชายวัยกลางคนกล่าวตอบ อาจารย์สาวของดิฉันจึงหันหน้ามามองดิฉัน พร้อมสอบถามว่า ดิฉันเห็นเด็กหญิงคนนั้นหรือไม่
"เห็นค่ะ เห็นเดินลงมาจากรถก่อน แล้วก็มานั่งตรงนี้ ข้าง ๆ ที่ผู้ชาย ระหว่างเก้าอี้ที่คุณแม่นั่ง" ดิฉันตอบ
"มาแค่ 2 คนจริง ๆ ค่ะ เราขับรถมาจากนครสรรค์กันค่ะ เด็กเล็กแค่ไหนเหรอคะ ลูกชายเขาไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกนะคะ" คุณแม่ของชายคนนั้นกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มสงบเย็น
ดิฉันและอาจารย์สาว จึงหันมาทำหน้างงกันทั้งคู่ ก่อนจะกล่าวลา ขอให้ทั้งคู่เดินทางกลับโดยปลอดภัย ซึ่งเราไม่พบว่าเด็กหญิงคนนั้น ได้เดินขึ้นรถกลับไปด้วย แต่ตอนมานั้นเธอเดินลงมาจากรถทันที ที่รถเปิดประตู ซึ่งเราทั้งคู่มองเห็นเธอแน่ ๆ ด้วยตา 4 ดวง อาจารย์ของฉันจึงได้สอบถามคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ในห้องปฏิบัติธรรมห้องนั้น ว่าเห็นเด็กหญิงคนดังกล่าวหรือไม่ จึงพบว่ามีเพียงเราสองคนเท่านั้น ที่มองเห็นเธอ และเราไม่พบว่ามีเด็กหญิงสวมชุดขาว หรือเด็กหญิงคนใด อาศัยอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนั้นเลย
การเดินทางตามหา แนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ของดิฉันยังคงไม่จบสิ้น ในปีเดียวกันนั้น ดิฉันเดินทางไปทั่วสารทิศ ศึกษารูปแบบการปฏิบัติต่าง ๆ นาน ๆ ถูกชักพาให้ไปสู่เส้นทางสายแล้วสายเล่า กรรมเก่าทำให้ฉันได้เป็นเพื่อน กับคนที่ไม่ควรจะไปคบเป็นเพื่อน แต่ด้วยความใจดีแบบไม่มีสติ ทำให้ดิฉันคิดว่า เราสามารถเป็นเพื่อนกับคนทุกคนได้ ความหลงผิดนั้นทำให้คิดว่า หากเราไม่คิดร้ายกับใคร จะไม่มีใครคิดร้ายกับเรา เพื่อนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีโปรไฟล์ดี แต่ละคนดูดี มีฐานะ และมีมุมแห่งความเป็นคนดี ดิฉันคบหากับพวกเขาด้วยความจริงใจ แต่ก็รับรู้ถึงทัศนคติ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน เส้นทางสายนี้ทำให้ดิฉันได้เห็น ได้ยิน ในสิ่งที่ดิฉันไม่ต้องการตลอดเวลา แต่ฉันก็ยังรู้สึกดี ที่อย่างน้อยก็มีเพื่อน ที่เป็นแบบเดียวกัน จำนวนไม่น้อย และมีพื้นที่ให้ดิฉันได้พูดคุยแลกเปลี่ยน ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มเดียวกันได้
ในวันหนึ่ง ขณะที่พวกเราไปงานทอดกฐินที่วัดในจังหวัดอยุธยา เราไปถึงก่อนงานทอดกฐิน 1 วัน จึงได้ชวนกันเที่ยววัดและตลาดน้ำในอยุธยา กันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเวลาประมาณเที่ยงวัน เราไปถึงวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นวัดที่ยังมีพระจำวัดอยู่ตามปกติ เป็นเหมือนวัดธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไป เป็นวัดเก่าแก่แต่ไม่ใช่โบราณสถาน เป็นวัดที่มีพระเจดีย์สูง ที่เราสามารถเดินขึ้นไปด้านบน และเข้าไปกราบพระ ในห้องเล็กๆ ที่ใจกลางพระเจดีย์ได้

ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้องค์เจดีย์ ดิฉันก็รู้สึกถึงการจ้องมอง ที่ตรงลงมาจากด้านบนของพระเจดีย์ ดิฉันจึงได้หันขึ้นไปมอง และพบร่างชายผู้หนึ่ง ร่างกายสันทัด ผิวคล้ำแดด อมแดง มีผมสั้นรองทรงสีดำ สวมชุดขาวปฏิบัติธรรม เป็นเสื้อแขนสั้นสีขาว และกางเกงขายาวสีขาว ที่ยังมีสภาพใหม่ สีขาวสะอาดอมฟ้า เนื้อผ้ายังคงไม่นิ่มตัวมากนัก แต่ดวงตาทั้งสองของเขา ที่จ้องลงมายังดิฉัน กลับเป็นเพียงหลุมสีดำ กลวงโบ๋ มืดมิด

ดิฉันมองออกไปด้วยสายตาที่งุนงง ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ ด้วยระยะที่สูงไกลขนาดนั้น เขาอาจจะเป็นเพียงคนธรรมดาที่มาถือศีล แต่มีใต้ตาคล้ำมาก เมื่อมองลงมาจากด้านบน แสงเงาอาจทำให้เบ้าตาของเขา เกิดเงาดำโบ๋ก็เป็นได้ เขาเดินมายืนที่ริมพระเจดีย์แล้วมองลงมาที่ดิฉัน เมือดิฉันสบตาเขาด้วยความสงสัยแล้ว เขาก็เดินหายลับตา เข้าไปตรงกลางเจดีย์
"เจดีย์นี้ มีทางเดินขึ้นได้ป่ะแก" ดิฉันถามเพื่อนในกลุ่ม
"น่าจะได้นะแก เหมือนจะมีทางขึ้นด้านขวามือ" เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มตอบขึ้น
"พวกแกจะขึ้นกันรึเปล่า" ดิฉันกล่าวถาม แต่ยังไม่เล่าถึงเรื่องราวของชายผู้นั้น
"แดดร้อนอะแก แต่ขึ้นก็ได้นะ" เพื่อน ๆ ทุกคนตกลงที่จะเดินขึ้นไป เพื่อกราบพระด้านบน ที่ห้องเล็ก ๆ ใจกลางพระเจดีย์
ทางเดินขึ้นพระเจดีย์เป็นทางเดินเล็ก ๆ สามารถเดินสวนทางขึ้นลงกันได้เท่านั้น และมีทางขึ้นเพียงทางเดียว ดิฉันเดินขึ้นไปจนถึงด้านบนสุด ซึ่งเป็นพื้นที่เล็ก ๆ เพียงพอให้คนไม่ถึงสิบคนยืนชมวิวได้เท่านั้น โดยมีทางเข้าเล็ก ๆ แคบ ๆ ที่คนตัวไม่โต สามารถ เข้า ออก อย่างไม่สะดวกสบาย ได้เพียงครั้งละ 1 คนเท่านั้น และดิฉันไม่พบชายคนดังกล่าว ไม่ว่าจะขณะที่เดินขึ้นพระเจดีย์ หรือบริเวณที่พักระหว่างชั้นของพระเจีดย์ เขาเคยยืนจ้องมองลงมา และไม่มีใคร ณ ห้องพระเล็ก ๆ ใจกลางพระเจดีย์ อันสุดแสนจะคับแคบและอึดอัด
ในช่วงแรก ๆ ดิฉันมีความสุขมาก นั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ ไปเพียงคนเดียว เพื่อไปพบกับคนอื่น ๆ เพื่อปฏิบัติธรรมที่สถานปฏิบัติธรรม ที่ต่างจังหวัดทุกสัปดาห์ จนกระทั่งเวลาล่วงไปเกือบหนึ่งปี การปฏิบัติก็ไม่ได้มีความก้าวหน้าแต่อย่างใด การได้ยิน ได้เห็น ในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ สิ่งเหล่านั้น มีประโยชน์เพียงเล็กน้อย ต่อการปฏิบัติ หลาย ๆ คนระลึกชาติได้ว่า เคยเป็นคนใหญ่คนโต เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ก็ยิ่งเพิ่มอัตตาให้กับตัวเอง ทั้งที่ในชาตินี้เราคือคนอีกคนแล้ว ไม่ใช่คนที่ตายไปแล้วเป็นเวลานานแสนนาน ไร้ประโยชน์ที่จะชูคอภูมิใจกับชาติภพที่ผ่านมาแล้ว และสิ่งที่คิดว่าเป็นการระลึกชาติได้นั้น อาจเป็นเพียงภาพลวงที่ก่อขึ้นเอง บางกรณีระลึกได้ว่าเคยใช้ชีวิตอยู่กับคนอีกคน ที่เจอกันในวัด ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็มีครอบครัวอยู่แล้ว จึงได้คบชู้และเลิกรากับคู่ครอง ที่มาวัดด้วยกันทุกสัปดาห์ เพื่อมาครองคู่กับคนอีกคน ที่เจอกัน ในวัดเดียวกัน!
ดิฉันรู้สึกว่า แนวทางนี้ช่างไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะกับผู้ที่ไร้สติ ลุ่มหลง ก่ออัตตาตัวตน ว่ามีพลังวิเศษ แต่ไม่มีแม้กระทั่งศีล 5 ครองใจ อันเป็นศีลพื้นฐานในการดำรงชีวิต เพื่อนบางคนในกลุ่ม ต้องคอยถามร่างทรงของตนเอง แม้กระทั่งเวลาจะซื้อโฟมล้างหน้า ว่ายี่ห้อไหนดีกว่ากัน! ซึ่งดิฉันคิดว่า ของแบบนี้ เราผู้เป็นเจ้าของกายใจนี้ ควรมีตนเองเป็นผู้ใช้ชีวิต ตัดสินใจ ดิฉันจึงเลิกไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนกลุ่มนี้ และเลิกเดินแนวทางนี้โดยเด็ดขาด
ดิฉันมองเห็นผี ตั้งแต่ก่อนที่จะมาทางสายนี้ ศีลดิฉันไม่ได้ดีกว่าเดิม การปฏิบัติไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา ลดทุกข์ใด ๆ จึงไม่ใช่เส้นทางที่ใจดิฉันตามหา เช่นเดียวกับผีนักปฏิบัติเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพของเด็ก หรือผู้ใหญ่ รูปวัยใด พวกเขาเหล่านั้น ยังคงติดตามเฝ้ารอโอกาส ในการปฏิบัติที่ถูกทาง จากครูบาอาจารย์ ที่จะสามารถนำทางสว่างให้แก่พวกเขาได้ จิตใจอันดีของพวกเขา ทำให้เขาฝากจิตอยู่ในกระแสแห่งการปฏิบัติ หลายครั้งที่นักปฏิบัติไปอยู่วัด รับประทานอาหาร ที่ผู้มีจิตศรัทธาตั้งใจนำมาให้ฟรี ด้วยใจกุศล แต่กลับกลายเป็นอยู่วัดเพื่อเป็นภาระ ไม่ได้อยู่เพื่อลดละกิเลส วิญญาณเหล่านี้ ก็มักปรากฏกาย เพื่อหลอกหลอนคนเหล่านั้น ให้หวาดกลัว และปฏิบัติตัวให้อยู่ในร่องรอยที่ดีงาม

ดิฉันรู้สึกยินดี กับเหล่าวิญญาณผู้มีความตั้งใจดี ที่พยายามสร้างกุศลให้แก่ตนเอง เพื่อความหลุดพ้น จิตที่ผูกพันอยู่กับวัด กับการปฏิบัติ ตกแต่งภาพลักษณ์ ของพวกเขาเหล่านั้น ให้มีสภาพที่ไม่ชวนขนลุก สยดสยอง อีกทั้งสามารถปรากฏกายให้เห็นได้ชัดเจน ภายใต้แสงอาทิตย์ และแสงไฟ สว่างไสว การมาปรากฏกายของพวกเขา ทำให้ดิฉันมีความรู้สึกสะเทือนใจ และมีความหวัง
สิ่งที่สะเทือนใจ คือพวกเขาต่างเป็นผู้ที่มีจิตมุ่งดี แต่มีเหตุ ให้ตกไปอยู่ในภพภูมิ ที่ลำบาก ในปัจจุบันนี้ มีผู้คนจำนวนมาก ที่เกิดทุกข์และพยายามแสวงหาทางพ้นทุกข์ แต่ถูกชักนำไปออกนอกเส้นทาง แล้วหลงผิดไปในเส้นทางที่ผิดองศาเหล่านั้น เมื่อเริ่มต้นทุกคนคงคิดว่าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ทำดีเหมือน ๆ กัน นั่นเป็นคำพูดของคนที่มองไม่เห็นโทษ ว่าการเดินผิดองศาไปเพียงองศาเดียว ก็ทำให้หลงทางไปไกล จนมองหาเส้นทางกลับ แทบไม่เจอ ดิฉันจึงพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะเทียบคำสอน ของผู้ที่ตั้งตนเองเป็นครูบาอาจารย์ เผยแพร่พระศาสนาของพระพุทธองค์ จากพระไตรปิกฏ และการลงมือปฏิบัติที่กำจัดทุกข์ หากแนวทางปฏิบัติใด ไม่ลดละกิเลส หนทางนั้นก็ไม่ใช่ทางตรง ไม่ใช่ทางที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้
สิ่งที่ทำให้มีความหวัง คือเมื่อเรามีจิตใจมุ่งมั่นแล้ว ในที่สุด ความตั้งใจที่ถูกตรงนั้น จะต้องนำพาเราให้ไปพบครูบาอาจารย์ ผู้ปฏิบัติถูกตรง ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ไม่ว่าเราจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ดิฉันรู้สึกอุ่นใจว่า หากกายของดิฉันนี้แหลกสลายไป ได้ตกไปอยู่ในภพภูมิที่ลำบาก ใจที่แน่วแน่ ที่จะเดินตามเส้นทาง ที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะไว้ จะทำให้ดิฉันพบหนทางต่อไป ในทุกชาติภพ ตราบจนจะเข้าถึงนิพพาน
ดิฉันเชื่อว่านิพพาน คงไม่ใช่ที่หมายของคนทุกคน แต่เราล้วนต้องการมีชีวิตที่เป็นสุข ปราศจากความทุกข์ใจ ต้องการใช้ความทุกข์หายไป ทุกวันมีแต่ความสุขใจ เป็นดังปรารถนา หากในวันใดที่คุณเห็นความจริง ว่าโลกนี้ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้ ขอให้คุณเริ่มศึกษาว่าแท้ที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ทรงสอนอะไร เพราะพระองค์ทรงจำแนกธรรม ให้เรานำไปปฏิบัติ ตามวิสัยของเราเองอยู่แล้ว นักบวช ออกจากเรือนเพื่อค้นหาทางดับทุกข์ ดังนั้นการศึกษาพระธรรม จึงเป็นไปเพื่อการหลุดพ้น ส่วนมนุษย์ปุถุชนคนครองเรือน ย่อมศึกษาพระธรรม เพื่อการมีชีวิตอย่างเป็นสุข และสังคมที่ดีค่ะ
* ภาพปก และภาพประกอบบทความโดยผู้เขียน
ความคิดเห็น






