อื่นๆ
ทำงานช้า... ได้ผลเกินคาด

ภาพหน้าปกโดย hamonazaryan1 จาก Pixabay.com
งานในปัจจุบันนั้นเป็นเช่นไรในความคิดของเราครับ... เราอาจจะรู้สึกมันหนักมันเหนื่อยหน่ายที่จะทำ รู้สึกว่าเรากดดันบีบคั้นเสมอ ๆ และเราทำงานอย่างไม่มีความสุขเลย... ความจริงที่ต้องยอมรับคือสังคมปัจจุบันถูกหล่อหลอมมาจากสังคมยุคก่อนที่เน้นไปที่เรื่องระบบเศรษฐกิจ การค้า การแข่งขันกันทำกำไรมากกว่าจะเน้นคุณภาพชีวิตของคนในสังคมครับ
เรียกว่าระหว่างคนทำงานที่มีความสุขกับคนทำงานที่ให้ได้ผลผลิตเยอะ ๆ คนยุคก่อนจะเลือกอันไหน... ผมมั่นใจว่าคุณทราบคำตอบดีนะครับ โดยเฉพาะคนที่กำลังสัมผัสในรูปแบบ Fast Work อยู่ประจำ
ในขณะที่เราหลายคนรู้สึกเบื่อหน่ายกับการทำงานที่ไร้ความสุขต้องเอาแต่เร่งรีบ ก็ยังมีคนทำงานอีกกลุ่มหนึ่งที่แม้จะไม่ได้รู้สึกดีกับงานแบบเต็มร้อยแต่ก็ยังทำเพื่เพื่อหวังว่าจะมีอนาคตที่ดี ทำงานมาก ๆ หาเงินเยอะ ๆ เพื่อหวังจะได้ก่อร่างสร้างตัว แล้วก็หักโหมทำงานแบบไม่ดูแลตัวเอง แบบผู้บริหารมากมายที่มีตำแหน่งสูงสมดังใจหมายแต่แล้วก็ต้องมาแลกด้วยสุขภาพครับ
Advertisement
Advertisement
นั่นคือเร่งทำงาน หาเงินจนลืมดูแลตัวเอง แล้วสุดท้ายเงินทุกบาททุสตางค์ก็เข้าโรงพยาบาลหมด...
ภาพโดย Tumisu จาก Pixabay.com
คนทำงานสไตล์ Fast Work จึงมีอยู่ 2 ลักษณะครับคือ ถ้าไม่ทำงานอย่างเร่งรีบด้วยความรู้สึกทุกข์และเบื่อหน่าย ก็จะทำงานแบบเร่งรีบด้วยความเต็มใจแต่สุดท้ายก็เสียหายถึงสุขภาพอีกด้วย
และอาจจะเสียหายไปถึงด้านอื่น ๆ ของชีวิต เช่น ห่างเหินกับครอบครัวมีช่องว่างกับคนรัก... ครอบครัว หรือคนรอบข้าง แบบนี้แล้วการทำงานแบบชีวิตเร่งด่วนจึงไม่ใช่อะไรที่จะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงได้เลยครับ
ถ้าเช่นนั้นเราควรจะทำอย่างไร... เลิกทำงานไปเลยดีไหม... แน่นอนครับถ้าทำแบบนั้นปัญหาต่อมาคือ เราจะขาดรายได้ แล้วเช่นนั้นเราควรทำเช่นไร... ผมขอเสนอวิธีทำงานแบบ Slow Work ให้คุณลองพิจารณากันครับ ยังจำคำกล่าวว่า "หากเราได้ทำงานที่เรารัก เราชอบ จะเท่ากับเราไม่ต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวิต" คำคมนี้มีความหมายว่าถ้าหากเราได้ทำงานที่เราอยากทำ เราชื่นชอบ และเราหลงรักมันอย่างแท้จริงแล้ว เราจะสนุกกับการทำงาน ความสนุกและบรรยากาศแห่งความกระตือรือร้นจะอบอวลไปตลอดเวลาทำงานครับ
Advertisement
Advertisement
คำแนะนำแรกคือ ให้คุณได้ลองค้นหาตัวเองให้เจอ ค้นให้พบว่าชอบงานอะไร อยากทำงานแบบไหน อะไรคืองานที่หากคุณได้ทำแล้วจะมีความสุขและอยากทำมันทั้งวัน อย่างเช่น ถ้าคุณชอบหนังสือหรือทำงานเขียน แน่นอนว่าการได้ทำงานเกี่ยวกับหนังสือและการเขียนจะทำให้คุณรู้สึกอิ่มเอม คุณยินดีที่จะสร้างสรรค์งานเขียนออกมาเรื่อย ๆ ตามอารมณ์และความคิดจะอำนวย
แต่ถ้าคุณชอบทำอาหารก็ควรไปเป็นเชฟทำอาหาร แล้วคุณจะสนุกกับการปรุงอาหารหลากชนิด รวมไปถึงการออกแบบเมนูอาหารใหม่ ๆ ด้วยตนเองและชอบที่จะให้มีคนมากินอาหารฝีมือเรา ถ้าคุณชอบตัวเลข คุณย่อมเหมาะกับงานบัญชีงานที่ต้องใช้ความละเอียดและการคำนวณ หรือถ้าคุณชอบช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษาให้คนอื่นคุณก็จะสนุกกับการทำงานในสายจิตวิทยา อย่างนี้เป็นต้นครับ
คำแนะนำอย่างที่สองคือ เมื่อได้ทำงานที่ตนรักชีวิตก็ดีขึ้น การทำงานแบบที่ตนรักจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของชีวิตครับ คุณจะอยากทำงานไปเรื่อย ๆ แบบไร้ความเครีียด ความกดดัน ซึ่งในระยะแรกของการพยายามเริ่มต้นสิ่งที่รักนั้น เราอาจต้องใช้เวลา ต้องอดทนต้องพิสูจน์ตัวเองพอสมควร แต่เมื่อผ่านทุกอย่างไปได้คุณจะรูู้สึกภูมิใจในตนเองและนั่นจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตแสนสุขกับการทำงานที่เรารักไปได้อีกนานเลยล่ะครับ
Advertisement
Advertisement
ภาพโดย FotografieLink จาก Pixabay.com
อย่ากลัวที่จะตามหาว่าตัวเองชอบงานอะไร และเมื่อค้นพบแล้วก็เดินหน้านำพาตัวเองเข้าสู่งานนั้น ๆ แต่มีข้อแม้แนะนำเล็กน้อยว่า เราต้องเลือกบริษัทที่จะไปทำงานให้ดีนะครับ แม้จะเป็นงานที่เรารักแต่ควรเลือกบริษัทที่มีประวัติและมีความมั่นคง เนื่องจากมีคนมากมายไปสมัครทำงานที่รักมนบริษัทแต่ไม่ได้รักในงานนั้นเลย ทำให้เขาเหล่านั้นต้องกลับสู่วังวนทำงานเร่งด่วนอีกครั้ง ซึ่งหากไม่รีบนำพาตัวเองอแกจากที่นั่นให้ทัน เราก็อาจเปลี่ยนความรู้สึกเป็นเกลียดงานที่เรารักไปเลยก็ได้ครับ
เมื่อได้ทำงานที่เรารักนั้นจงทำมันในแบบ Slow Work ไม่ได้หมายความว่าให้ทำช้าแต่หมายความว่าทำอย่างใส่ใจรายละเอียด ทำอย่างตั้งใจให้ผลงายแต่ละชิ้นออกมาดีครับ และต้องไม่ลืมที่จะค่อย ๆ พัฒนาตัวเองให้มีความยอดเยี่ยมมากขึ้น ซึ่งความท้าทายและสิ่งใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มรสชาตของการทำงานของเราได้เป็นอย่างดี
แต่สำหรับคนที่ยังไม่เจองานที่ตนรัก หรือเจอแล้วแต่ยังไม่สามารถหาที่ทำงานได้จึงทำให้จำต้องทำงานเดิมล่ะ จะมีทางออกให้มีความรู้สึกดีต่อการทำงานมากขึ้นบ้างไหม... ไม่ต่องห่วงครับ ผมมีคำแนะนำให้กับคนทำงานทุกลักษณะอยู่แล้ว
เมื่อเราจำต้องทำงานเดิมที่ไม่ได้ชื่นชอบนัก เราก็สามารถปรับเปลี่ยนระบบการทำงานที่เร่งรีบกดดันให้มันช้าลงครับ ใช่ครับ เราทำได้! แม้เราจะไม่อาจเปลี่ยนระบบงานของทั้งบริษัทได้ แต่เราก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบการทำงานที่เราเป็นคนทำได้ โดยถือหลักสำคัญว่า "เราคือนายของงาน"
กล่าวคือเราจะไม่มัวแต่ไปกดดัน ตื่นเต้นหรือเร่งรีบเพราะตัวงานอีกต่อไปครับ แต่เราจะหันมาคุมสถานการณ์ คุมให้ระดับความเร็วในการทำงานของเราเป็นไปอย่างพอเหมาะกับตัวเราเอง เราต้องประเมินตัวเองว่างานแต่ละชิ้นนั้นเราจะสามารถทำสำเร็จได้ในเวลาเท่าใด และทำเสร็จที่ว่านี้ก็ต้องออกมาอย่างสมบูรณ์ด้วยนะครับ
ภาพโดย jerrykimbrell10 จาก Pixabay.com
ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้วนะครับ เราจะต้องรู้จักคิดบวกไม่ว่ากับงานใด ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน หากเจอปัญหาระหว่างการทำงานก็ให้มองว่านี่คือโอกาสแห่งการฝึกทักษะการแก้ปัญหา หรือเราอาจสะสางงานจนทำให้ปัญหานั้นไม่เกิดอีกเลยก็ได้
เราคิดบวกได้เสมอครับ งานที่หนักก็คือโอกาสฝึกฝน หรือการทำงานไม่ทันเวลาก็เป็นบทเรียนให้เราย้อนมองไปว่าเราขี้เกียจหรือไม่ เราเลินเล่อเริ่มต้นทำงานช้าเกินไปหรือเปล่า จะเห็นได้ว่าแทบทุกมุมในการทำงานนั้นเราสามารถใช้มันเป็นครูเพื่อสอนให้เราเก่งขึ้นได้ มันอยู่ที่การรู้จักมองนั่นเองครับ
🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸
ความคิดเห็น






