อื่นๆ
ทำไมเหตุผลต้องมาก่อนเสมอ

ผู้ที่ชอบใช้อารมณ์ มักจะทำให้เรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ชอบคิดว่าตัวเองถูกเสมอ เพราะต้องการเอาชนะมากกว่าความมีเหตุผล ต้องการหาพวก ต้องการความเห็นอกเห็นใจ เกลียดการที่ตัวเองต้องเป็นฝ่ายยอม
ส่วนคนที่มีเหตุผล ทำให้เรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก เพราะรู้จักรับฟังปัญหาของคนอื่น กระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน หลีกเลี่ยงการโต้แย้ง
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกโกรธ เมื่อนั้นคุณจะรู้ว่าความโกรธของคุณจะทำให้เรื่องเล็ก ๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้และอาจจะมากมายจนเกินเหตุ
และเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกโกรธ จำไว้ว่าความโกรธนั้นมักจะมาจากความคิดของคุณ ความคิดของคุณจะสั่งให้คุณระบายความโกรธของคุณออกไป เมื่อคุณได้ระบายความโกรธออกไปแล้วคุณจะรู้สึกสบายใจขึ้น และเชื่อว่าคุณได้ระบายออกไปไม่ว่ามันจะออกในรูปแบบไหน จะดีหรือไม่ดี คุณก็จะคิดว่าคุณเป็นฝ่ายถูกเสมอ นั่นเป็นเพราะคุณต้องการจะเอาชนะมากกว่าความมีเหตุผล
Advertisement
Advertisement
ขอบคุณภาพจาก freepik.com
คนส่วนใหญ่มักจะไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด เพราะถ้าหากยอมรับออกไปแบบนั้น ก็เท่ากับว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้ แต่ถึงจะยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการทำใจให้ยอมรับ
การที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดนั้นเป็นเพราะว่าพวกเขามักจะปักใจเชื่อเสมอว่าสิ่งที่เขาได้ทำลงไปนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว และพวกเขาจะไม่มีทางทรยศความรู้สึกของตัวเองเด็ดขาด เพราะพวกเขาได้วาง “ตัวจน” ลงไปในเรื่องนั้น ๆ แล้วว่า เขาเป็นฝ่ายถูก
ถ้าจะมีใครสักคนชี้ให้พวกเขาได้เห็นถึงความผิดลาดในสิ่งที่ทำ นั่นเท่ากับว่าใครคนนั้นกำลังส่งต่อต้านพวกเขา และพวกเขาก็จะลุกขึ้นมาสู้ใครคนนั้นหัวชนฝาเลยีเดียว แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าใครก็ตามที่แสดงความคิดเห็นเป็นไปในทางเดียวกับพวกเขา นั่นคือ ยอมรับในความคิดเห็น และเข้าใจจิตใจว่าพวกเขาบังเอิญคิดผิดไป ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น และคุณจะสามารถดึงพวกเขาขึ้นมาจากความคิดผิด ๆ ได้ แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะคล้อยตามคุณเองค่ะ
Advertisement
Advertisement
ขอบคุณภาพจาก freepik.com
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องเผชิญหน้ากับคำคัดค้านที่รุนแรง ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคุณที่จะทำให้เขาคล้อยตามคุณได้ นั่นก็คือ คุณต้องปล่อยให้เขาได้พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่คั่งค้างอยู่ในจิตใจของเขาออกมาให้หมด แล้วคุณเองก็ต้องเห็นด้วยกับเขา เข้าใจความรู้สึกของเขาด้วยว่าทำไมเขาจึงต้องเป็นแบบนั้น และเมื่อคุณทำแบบนี้แล้วเขาก็จะรู้สึกว่าคุณอยู่ข้างเดียวกับเขาและเข้าใจ ต่อจากนั้นถ้าคุณจะพูดอะไรก็ตามก็จะเชื่อคุณทุกย่าง เพราะถือว่าคุณเข้าใจและเป็นพวกเดียวกับเขา
ในกรณีเมื่อต้องมีการนำคู่พิพาทมาพบกัน คุณอาจจะมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง นั่นคือ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการความเห็นอกเห็นใจในฝ่ายของตัวเอง และการแสดงความเห็นใจของใครบางคนต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายนั้นจะชนะ แต่นั่นเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าทุกคนเข้าใจสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเป็นอยู่ สิ่งที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ นั่นคือ ปัญหาที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งขึ้น และเป็นสิ่งที่มีคุณค่าควรแก่การรับฟังเท่านั้นค่ะ
Advertisement
Advertisement
“สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณจะต้องปฏิบัติเมื่อคุณต้องอยู่ท่ามกลางการโต้เถียงของบุคคลสองฝ่าย นั่นคือ การฟัง”
เพราะการฟังคือการที่คุณคอยให้การสนับสนุนคนที่สองฝ่ายให้พวกเขาได้พูดออกมาอย่างหมดเปลือก อย่าทำให้เขาหยุดพูด แม้ว่าเรื่องที่พวกเขาพูดออกมานั้นจะไม่อยู่ในประเด็นก็ตาม
ขอบคุณภาพจาก freepik.com
สิ่งที่คุณจะได้รับจากการฟังทั้งสองฝ่ายก็คือ คุณจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง และเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาหยุดพูด คุณก็ควรจะถามพวกเขาว่าพวกเขายังมีเรื่องอะไรที่จะพูดอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีแล้วคุณก็สามารถที่จะตัดสินได้ว่าฝ่ายใดควรได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้ชนะในการโต้เถียงในครั้งนี้
“เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ต้องการจะได้รับความเห็นอกเห็นใจ”
ที่พูดมามันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนเราที่ต้องการจะได้รับความเห็นอกเห็นใจ เพราะฉะนั้นคนสำคัญทั้งหลายจะถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญ ที่จะต้องให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาพบเพื่อพูดคุยกัน
คนส่วนใหญ่รู้ว่าวิธีเดียวที่สามารถระงับการคัดค้านและทำให้ทุกอย่างสงบลงได้นั่นก็คือ การยอมรับฟังและก็ต้องแสดงความเคารพในความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายด้วยเพื่อเป็นการเชิดชู “ตัวตน” ของพวกเขาขึ้นถึงแม้ว่าจะใจจริงแล้วอาจจะไม่เห็นด้วยกับทั้งสองฝ่ายก็ตาม
แต่การยอมให้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะได้ผลที่ดีกว่า นั่นคืออีกฝ่ายหนึ่งก็จะเชื่อว่าความคิดของเขานั้นถูกต้องทุกประการโดยปริยาย
คนที่ประสบความสำเร็จจะยอมรับภาวะที่เรียกว่า “การยกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ถ้าการยกให้นั้นจะทำให้เขาต้องอยู่ในภาวะยอมจำนน แต่ได้รับผลประโยชน์ที่ดีคืนกลับมามากที่สุดพวกเขาก็ต้องยอม

ขอบคุณภาพจาก pixabay.com
ถ้าหากคุณสามารถไปถึงจุดสำคัญในการพูดคุยเจรจากันทางธุรกิจอย่างที่คุณตั้งไว้ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จในการทำความตกลงกันได้สำที แม้ว่าจะพยายามใช้วิธีการใดก็ตาม บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่นั้นจะใช้วิธีผัดผ่อนโดยการ
“ให้วางปัญหานั้น ๆ ลงไว้ก่อนแล้วค่อยมาพูดคุยกันในโอกาสต่อไป เมื่อความตึงเครียดทุกอย่างได้คลายลงแล้ว”
อย่างที่ได้พูดมาแล้วว่าธรรมชาติของคนเรานั้นเกลียดการที่ตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายยอมจำนนเพราะการถูกบีบบังคับเป็นที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นถ้ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องทำเพื่อผลประโยชน์ที่จะได้รับและความสำเร็จที่รออยู่ ก็ต้องยอมค่ะ
“เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาโต้แย้งที่มไม่อาจตกลงกันได้ เขาจะปล่อยเวลาไว้สักระยะหนึ่งเพื่อให้ลูกค้าได้ปรับปรุงหรือพิจารณาในแนวคิดของตัวเอง”
ดังนั้นนักขายที่ฉลาดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาโต้แย้งที่ไม่อาจตกลงกันได้กับลูกค้า เขาจะปล่อยเวลาไว้สักระยะเพื่อให้ลูกค้าทีจะสั่งสินค้าจากเขาได้ปรับปรุงหรือพิจารณาในแนวความคิดของตัวเอง บ่อยครั้งที่ฝ่ายลูกค้าตัวเองตระหนักว่าตัวเองได้ปฎิเสธออกไปอย่างไร้เหตุผล หรืออาจจะเป็นเพราะเกิดความเข้าใจผิดก็ได้ สุดท้ายลูกค้าก็จะกลับมาหานักขายและซื้อสินค้าจากเขาเอง
ขอบคุณภาพจาก freepik.com
ถ้าจะบอกว่าปัญหาบางอย่างนั้นเมื่อปล่อยให้ล่วงเลยไปชั่วระยะหนึ่งแล้ว มันจะสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวมันเอง เพราะฉะนั้นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะแก้ไขปัญหาในการถกเถียงหรือการโต้แย้งนั้นก็คือ หลีกเลี่ยงการโต้แย้งและการถกเถียงซะ
คุณจะเห็นได้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวเองนั้น ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรพวกเขาจะกนะทำด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนค่ะ
ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง และยังเท่ากับเป็นการจูงใจให้เห็นพ้องกันด้วย
บางครั้งถ้อยคำที่แสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเองและไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเอง ไม่ว่าใครจะเสนอความคิดเห็นที่คัดค้านออกมาก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์เหมือนกันค่ะ ในการที่จะนำความมั่นใจตรงนั้นมาเป็นแรงกระตุ้นให้คนอื่นเกิดความเชื่อมั่นในตัวคุณ และต่อแผนงานต่าง ๆ ของคุณด้วย ซึ่งการทำวิธีการแบบนี้มีบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายนำไปใช้เหมือนกันค่ะ
“หลีกเลี่ยงการโต้แย้งให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
บางครั้งอีกเช่นกันค่ะ ในการโต้เถียงนั้นก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดึงอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นมาปะทะคารมกัน เช่น วิธีการของทนายความทั้งหลายที่ได้กระทำกันในศาล แต่จุดประสงค์ในการทำแบบนั้นไม่ได้ต้องการที่จะให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความเชื่อ แต่ต้องการที่จะให้ผู้อื่นเป็นผู้ฟังหรือบุคคลที่ 3 เป็นฝ่ายเชื่อซะมากกว่าค่ะ
“เมื่อคุณต้องการที่จะแสดงความไม่เห็นด้วยออกไป ถ้าคุณจะใช้วิธีนั่งฟังเงียบ ๆ ก็สามารถที่จะสื่อความหมายให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจได้เช่นเดียวกันค่ะ”
เพราะฉะนั้นด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งที่คนสำคัญทั้งหลายพยามจะยึดไว้เป็นหลักของตน คือหลีกเลี่ยงการโต้แย้งให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งพยายามที่จะผลักดันความคิดเห็นของตัวเองให้คุณยอมรับก็ตาม คุณจะต้องใช้ความอดทนและอดกลั้นให้มากที่สุดด้วย ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับเขา นั่นแหละจะทำให้คุณได้รับชัยชนะในภายหลัง
“เพราะฉะนั้นเราอย่าพยายามเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่เราจงพยายามเป็นคนที่มีคุณค่าค่ะ”
ขอบคุณภาพปกจาก pixabay.com
ความคิดเห็น






