อื่นๆ
ยินดี(สยอง)ต้อนรับ

ภาพโดย slightly_different จาก Pixabay
บุญทมปลดกระเป๋าเสื้อผ้าหลุดจากบ่า โยนลงบนพื้นห้องอย่างไม่ใยดี ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางจับอยู่บนสีหน้าของเขา
ในวัย 38 ปี อาชีพเรือจ้างทำสัญญาปีต่อปี ไม่ต้องเพรียกหาความมั่นคงในชีวิต แต่โชคดีที่ยังครองตัวเป็นโสด ทำให้ไม่ต้องมีภาระเรื่องอื่นใดมากนัก รับผิดชอบแค่ตัวเองไม่ให้เดือดร้อนถึงครอบครัวก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว
บุญทมไม่สามารถเลือกได้ว่าเขาควรจะไปสอนหนังสือที่โรงเรียนใด เช่นเดียวกับการมาที่นี่ ก็ไม่ใช่เพราะความต้องการของเขา แต่มันคือความจำเป็น สอบได้สอนที่นี่ มีงานทำก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว
นิสัยของบุญทมค่อนข้างเฮฮาปาร์ตี้ เพื่อนค่อนข้างมาก แต่ก็นั่นแหละ เขามักมีมุมเหงาๆอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะไม่มีแฟนหรือเป็นไปตามสภาวะอารมณ์ในห้วงขณะนั้นก็ยากจะเดา บุญทมหยิบเหล้าสีแบนหนึ่งที่ซื้อเหน็บมาตั้งแต่ในตัวอำเภอจิบเพียวๆระหว่างทอดกายนอนลงบนพื้นห้อง
Advertisement
Advertisement
ก๊อกๆๆ
“เชิญครับ” บุญทมร้องบอก เพราะประตูห้องไม่ได้ล็อก
ภารโรงวัยกลางคน หน้าตายับย่น ดวงตามีประกายแบบเดียวกับบุญทมยื่นหน้าเข้ามาก่อน
“มีอะไรขาดเหลือเคาะประตูเรียกผมได้ตลอดนะครู ผมอยู่บ้านพักคนเดียว”
“ขาดครับ” บุญทมตอบ น้ำเสียงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
“ขาดอะไรครับเดี๋ยวผมหามาให้”
“ขาดเพื่อนกินเหล้า”
“บ๊ะ กำลังเปรี้ยวปากพอดีเลยครู”
คอเหล้า แค่สบตากันก็เข้าใจความหมาย เหล้าเพียวๆแบนเดียวในมือของบุญทมไม่น่าจะพอ แต่ภารโรงก็กำลังอยู่ในอารมณ์เดียวกับครูหนุ่มหน้าใหม่ ผู้เพิ่งเดินทางมาถึง อีกอย่างพรุ่งนี้คือวันหยุด จึงสามารถเมาได้ตามใจปรารถนา
คนขี้เมาย่อมเข้าใจคนขี้เมา ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยเลย
ภารโรงยังเป็นหนุ่มโสดเหมือนกัน เขามีศักดิ์เป็นน้องชายของผู้อำนวยการโรงเรียน นิสัยเกกมะเหรกเกเรตั้งแต่เด็ก สุดท้ายพี่ชายดึงให้เข้ามาทำงานจึงพอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง ทุกคนต่างมีบาดแผลในใจด้วยกันทั้งสิ้น เหล้าช่วยให้ความสัมพันธ์ของคนต่างถิ่นแปลกหน้า เชื่อมต่อสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว กว่าค่อนคืน สองชายต่างวัยต่างสถานะแต่กลายเป็นเพื่อนก็ฟุบหลับไปที่หน้าบ้านพักของภารโรง ท่ามกลางม่านแห่งรัตติกาล
Advertisement
Advertisement
ระหว่างนั้น ลมรำเพย หอบเอาความหนาวเย็นชำแรกผ่านร่างของสองหนุ่มใหญ่ต่างวัย โดยเฉพาะบุญทมถึงกับกอดอก พลิกร่างตะแคงแล้วงอเข่าเข้าหากันเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นให้กับร่างกายตามสัญชาตญาณ หูแว่วคล้ายได้ยินเสียงสนทนา เปลือกตาของเขาเหมือนพยายามจะลืมขึ้นเพื่อมองเหตุการณ์ แต่ไม่สำเร็จ
จากพูดคุย เริ่มกลายเป็นการโต้เถียง บุญทมไม่สามารถจับใจความได้ รู้แค่เพียงว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี...

ในความสลัวรางเลือน ไม่ห่างจากจุดที่ครูหนุ่มใหญ่กับภารโรงเมาหลับ มองเห็นร่างของหญิงสาวในชุดคลุมท้อง และผู้ชายอีกคน น่าประหลาดเหลือเกินที่ผู้ชายคนนั้นบุคลิกท่าทางรวมทั้งน้ำเสียงเหมือนกับภารโรงราวกับแกะ น้ำเสียงของฝ่ายชายเกรี้ยวกราดราวกับกำลังโมโหสุดขีด ฝ่ายหญิงก็อยู่ในอาการไม่แตกต่าง
พลัน! การโต้เถียงสิ้นสุดลงด้วยร่างของฝ่ายชายผวาเข้าหาสาวท้องแล้วเคล้นคอของหล่อนด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า และด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวสุดขีด หญิงท้องดิ้นรนเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณ น้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมาในขณะนี้จึงเป็นเสียงแสดงความอึดอัดทรมาน เจ็บปวด และมันคือสัญญาณของคนไขว่คว้าลมหายใจเฮือกสุดท้าย
Advertisement
Advertisement
“ช่วยด้วย...!”
บุญทมแว่วได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เขาอยากผุดลุกมองหาที่มาของเสียง แต่ไม่สามารถทำได้ ความรู้สึกยามนี้ อึดอัด ขัดข้อง สภาพร่างกายอยู่เหนือการควบคุมอย่างสิ้นเชิง
เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากสาวท้องค่อยๆเลือน และสิ้นเสียงไปในที่สุดพร้อมๆกับร่างของหล่อนก็แน่นิ่งคามือของฝ่ายชาย
ฝ่ายชายผู้มีบุคลิกคล้ายกับภารโรง!
บุญทมยังคงรู้สึกว่า เขาสามารถเห็นความเคลื่อนไหวรางเลือน โดยที่ตัวเองไม่สามารถแทรกเข้าไปในเหตุการณ์เพื่อช่วยเหลือหรือทำอะไรได้เลย
หูแว่วได้ยินเสียงหมาหอนอีกแล้ว
บุญทมขนลุกซู่ เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แค่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากรอดูเหตุการณ์ต่อไป... ภาพในความสลัวกำลังเปลี่ยนแปลง
ฝ่ายชายกำลังร้องไห้ กอดร่างที่แน่นิ่งของฝ่ายหญิง น้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากปากของเขา เป็นน้ำเสียงคร่ำครวญแสดงถึงความไม่ได้ตั้งใจ ทำเอาบุญทมพลอยหดหู่ไปด้วย เขาเชื่อว่าฝ่ายชายคงไม่ได้ตั้งใจทำอะไรรุนแรง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความพลั้งพลาดตามภาวะอารมณ์ขณะนั้น
บุญทมเกิดความรู้สึกอยากลุกไปปลอบหรือให้การช่วยเหลืออะไรสักอย่างอย่างแรงกล้า เขาพยายามฝืนแล้วลืมตาขึ้นได้ในที่สุด
เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
บุญทมขนลุกซู่ เพราะขณะนี้ บรรยากาศรอบกายยังจ่อมจมอยู่ในท่ามกลางความเงียบ ไม่ได้มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น แสดงว่าเขาแค่ฝัน หรือว่า...เจอดีเข้าให้แล้ว
ครูหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวคอ
“พี่...” บุญทมเขย่าร่างของภารโรง “ตื่นเถอะ”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ภารโรงถามเสียงงัวเงีย
“พาผมกลับห้องพักได้ไหมครับ”
ภารโรงขยับลุกนั่ง “ทำไมหรือครู”
“ผมกลัว”
บุญทมตอบตามตรง
“ที่นี่ไม่มีผีหรอกน่า” ภารโรงหัวเราะ “ผมอยู่ที่นี่มานานยังไม่เคยเจออะไรเลยครับ”
“ไม่รู้ละ ผมกลัว”
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะครับ”
ภารโรงเข้าใจความรู้สึกของครูหนุ่มผู้มาใหม่ บรรยากาศของโรงเรียนในช่วงเวลานี้ถ้าไม่คุ้นเคย ย่อมรู้สึกวังเวงพอสมควร เขาลุกขึ้นยืนโงนเงนแล้วก้าวนำครูหนุ่ม ระหว่างนั้นสายลมรำเพยผ่าน ไม่เพียงให้ความเย็น แต่ยังทำให้ขนหัวลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
อะไรไม่เท่า... หมาหอน!
แม้แต่เจ้าถิ่นอย่างภารโรงยังต้องชะงัก และหลุดปากออกมาอย่างประหลาดใจว่า
“หมาหอนทำไมเนี่ย ยังกะเห็นผีงั้นแหละ”
บุญทมผวาเกาะแขนภารโรง ตาเหลือก หัวใจเต้นตูมตามโครมคราม เขากลายเป็นคนปอดแหกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัว
“ผี...”
“โอ้ย มันไม่มีหรอกครู”
“ผีเนี่ยนะ”
“ใช่ ผีไม่มีในโลก ต่อให้มีจริง มันกินเหล้าไม่ได้เหมือนพวกเราหรอก ฮ่าๆ”
น้ำเสียงของภารโรงรื่นเริง อย่างน้อยที่สุดทำให้บุญทมคลายความวิตกลงบ้าง หัวใจที่กำลังเต้นรัวเร็วเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เท้าเริ่มขยับก้าวตามหลังภารโรงไปติดๆ
“อยู่ห่างๆหน่อยก็ได้ครู ผมเสียวก้น”
“บ้าน่า” บุญทมต้องรีบผละออกห่าง
ภารโรงหัวเราะชอบใจ
ระหว่างคนทั้งสองกำลังขึ้นไปบนอาคาร จังหวะนั้น ไฟฟ้าก็ดับวูบลง ไม่ใช่แค่ดับ แต่มันมาพร้อมกับปรากฏการณ์อันน่าขนลุกกว่านั้น
มีเสียงเด็กร้องจ้า เป็นเด็กทารก
“อุ๊แว๊ๆๆๆๆ!”
และเป็นเพราะเสียงร้องจ้าดังกล่าวนั้นเอง จึงทำให้หมาหอนรับกันเป็นทอดๆ และภารโรงหนุ่มใหญ่ที่บอกว่าผีกินเหล้าไม่ได้กลับเป็นฝ่ายออกอาการ
“ผีอีน้อย”
“ว่าไงนะครับ?”
“ผะ...ผีอีน้อย!”
พอภารโรงหลุดปากออกมาไม่ทันขาดคำด้วยซ้ำ เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมาในบัดดล ทำให้สองหนุ่มต้องผวากอดกัน เนื้อตัวสั่นงันงก
“ฮิๆๆๆ! ฮิๆๆๆ!”
ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้คนใจแข็งแค่ไหนก็ยากจะไม่ออกอาการ บุญทมอยากกลั้นใจตายเสียเดี๋ยวนั้น เขาไม่ได้เมาเสียจนเลอะเทอะแน่ ความกลัวพุ่งเข้าสู่กลางหัวใจ คลื่นสมองถูกรบกวนจนรวน ร่างกายมีปฏิกิริยาบางอย่างเหนือการควบคุม บุญทมผละออกจากร่างของภารโรง เผ่นพรวดพราดถึงห้อง คว้าผ้าห่มคลุมโปง ตัวสั่นงันงก
บุญทมพยายามระลึกถึงบทสวดมนต์อะไรสักอย่าง แต่สมองตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรออก เหงื่อเม็ดโป้งๆผุดพรายขึ้นมาจนเปียกชุ่มไปทั้งร่าง เสียงหัวเราะของผู้หญิง เสียงร้องไห้ของเด็ก เสียงหมาเห่าหอน ยังดังต่อเนื่อง
ช่วงเวลาแห่งความเลวร้ายขยับผ่านไปอย่างเชื่องช้า สติสัมปชัญญะของบุญทมเริ่มกลับคืนมาพร้อมๆกับรับรู้ว่า ภารโรงหนุ่มใหญ่ไม่ได้ตามเข้ามาในห้องแต่อย่างใด ไฟกลับมาสว่างอีกครั้ง เหตุการณ์อันชวนให้ขนลุกก็เลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันสังเกต ถึงกระนั้น เวลานี้ต้องเอาช้างมาฉุดอย่างเดียว บุญทมถึงจะยอมออกจากห้อง ต่อให้นึกเป็นห่วงภารโรงแค่ไหน เขาก็ไม่เหลือความกล้าที่จะออกไปตามหา คิดในแง่บวกอย่างเดียวว่า ภารโรงเป็นเจ้าถิ่นคงไม่เป็นอะไร ต่างจากเขาที่ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ ดีนะที่ไม่โผล่ออกมาให้เห็นตัวเป็นๆ ไม่งั้นคงช็อกตายไปแล้ว
ภาพโดย Claus Heupel จาก Pixabay
ก๊อกๆๆ...!
ประตูห้องถูกเคาะดังขึ้นอีกครั้ง บุญทมค่อยๆลืมตาแล้วพับร่างลุกนั่ง เขาผล็อยหลับยาวไปจนกระทั่งฟ้าแจ้ง
“ครูครับ ครู” เสียงเรียก
“ครับ ผมตื่นแล้ว รอเดี๋ยว” บุญทมขยี้ตา พร้อมขยับลุกไปเปิดประตู คนที่ยืนอยู่ด้านนอกเป็นชายวัยกลางคน ร่างอ้วนฉุ
“สวัสดีครับ ผมชื่ออ้วน เป็นภารโรงของที่นี่”
“ภารโรง...” บุญทมทวนคำ
“ใช่ครับ ขอโทษด้วยนะครับ ไม่คิดว่าครูจะมา ผมมัวกลับบ้าน พอดีลูกไม่สบายต้องไปเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาล ผ.อ.เพิ่งโทร.บอกว่าให้แวะมาดูที่โรงเรียน”
“ขอโทษนะครับ แล้วภารโรงของที่นี่มีกี่คน”
“คนเดียวครับ”
“หา! แล้วคนที่ผมกินเหล้าด้วยล่ะ”
บุญทมหลุดปากมาถึงตอนนี้ สีหน้าของภารโรงอ้วนถึงกับซีดเผือดแล้วหลุดปากตะกุกตะกัก
“ถ้าหมายถึงคนนั้น เอ้อ...”
“คืออะไรครับ ช่วยบอกที”
“เขาเพิ่งตายไปเมื่อเดือนก่อน... ตายหลังจากก่อเหตุฆ่าเมียท้องแก่ ตัวเองก็ซดยาฆ่าแมลง กว่าจะมีคนมาพบก็สายไปแล้ว”
บุญทมเข่าอ่อน หน้ามืด จนภารโรงอ้วนต้องผวาเข้ามาประคอง พร้อมกับพูดให้สยองหนักเข้าไปอีกว่า “แกแค่มาหยอกเล่นน่ะ อย่าคิดมากเลย ถือว่าเป็นการรับน้องใหม่ก็แล้วกัน!”
//////
ความคิดเห็น







ภาพโดย