อื่นๆ

ลองของ...จนเจอดี

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ลองของ...จนเจอดี


                    ลองของ...จนเจอดี



เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่ผู้เขียนได้พบเจอมาเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน

ตอนนั้นตัวผมเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนฯ เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นตอนปิดเทอมภาคเรียนที่ 1

ชีวิตมัธยมปลายของผมจะอยู่กับโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ ด้วยความที่ผมเป็นเด็กกิจกรรมและเป็นประธานนักเรียน บ่อยครั้งที่ผมอยู่โรงเรียนจนดึกดื่นแล้วค่อยกลับบ้าน ไม่ได้อยู่ทำกิจกรรมอะไรหรอกแต่มันเคยตัว ชอบอยู่พูดคุยกับเพื่อนมากกว่า อยู่แบบนี้ทุกวันเป็นประจำ

ผมตั้งกลุ่มขึ้นมาในโรงเรียน...เป็นกลุ่มของคนที่สนใจเรื่องสมาธิและการฝึกจิต สมาชิกส่วนใหญ่คือเพื่อนที่สนิทกันจากการเข้าค่ายของโรงเรียน เป็นค่ายที่จัดขึ้นทุกปิดเทอม เราไปค่ายนี้ทุกครั้งที่จัด จนสนิทกันมาก (แม้ไม่ได้เรียนชั้นเดียวกัน)

หลังค่ายนั้น...ผมได้ตกลงกับเพื่อนในกลุ่มว่า เราจะไปฝึกจิตให้นิ่ง เพื่อทำสมาธิและฝึกควบคุมอารมณ์ของตนเอง มีเวลา 2 สัปดาห์ ให้ทุกคนตั้งใจฝึกหลังจากนั้นแต่ละคนจะต้องมาทดสอบโดยการเข้าไปนั่งคนเดียวที่เมรุเผาศพตอนกลางคืนเป็นเวลา 5 นาที เพื่อทดสอบความนิ่งของจิต (หากกลัวก็แค่กลับมามีสติกับตัวและลมหายใจ)

Advertisement

Advertisement

เรานัดวันที่เหมาะสมแล้วก็แยกย้ายกันไป 

จนถึงวันนัด สมาชิกทั้ง 4 คน ก็มารวมตัวกันที่โรงเรียน ( โรงเรียนผมอยู่ติดวัด ) เราเจอกันตั้งแต่ช่วยบ่าย นั่งเล่น นั่งคุยที่โรงเรียนจนถึงตอนเย็น 

หลังจากพูดคุยกัน เราเห็นว่าการไปนั่งที่เมรุเผาศพดูจะหนักเกินไปสำหรับพวกเรา เลยเปลี่ยนแผนเป็นนั่งที่โรงเรียนแทน โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนเก่าแก่ มีตำนานเรื่องเล่าสยองขวัญอยู่แล้ว แค่นี้ก็น่าจะเหมาะกับการทดสอบจิตใจ

ภารกิจเริ่มตอน 3 ทุ่ม เราทั้ง 4 คน จะจับฉลากห้องเรียนขึ้นมาคนละห้อง จากนั้นเริ่มทำภารกิจทีละคน โดยคนที่ทำภารกิจต้องเดินขึ้นอาคารเรียนคนเดียวจนไปถึงห้องเรียนที่จับฉลากได้ เดินเข้าไปในห้อง ปิดประตู หน้าต่างทุกบาน แล้วนั่งเก้าอี้กลางห้อง รอจนครบ 5 นาที เพื่อนที่เหลือจะขึ้นไปตามลงมา ทำวนจนครบทุกคน

ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com

ช่วงเย็นก่อนเริ่มภารกิจ เราทานข้าวด้วยกัน จากนั้นเราเริ่มสร้างบรรยากาศด้วยการคุยกับลุงยามของโรงเรียน สอบถามถึงตำนานเรื่องเล่าของโรงเรียน (ผมสนิทกับลุงยามและครูเวรวันนั้น เราจึงสามารถอยู่โรงเรียนตอนดึกได้)

Advertisement

Advertisement

ก็ไม่มีเรื่องอะไรน่ากลัวนัก มีแค่ตำนานของครูที่เสียแล้วมีคนเห็นที่โรงเรียน กับเรื่องห้องดนตรีไทยที่ได้ยินเสียงคนเล่นดนตรีตอนดึก 

จบจากเรื่องเล่าลุงยามเราก็แยกตัวมาที่โรงอาหารและผลัดกันเล่าเรื่องผี จนเกือบสามทุ่มเราจึงจับฉลากกัน ผมได้คิวที่ 4 เป็นคนสุดท้ายและดันได้ห้องที่โหดที่สุดด้วย ผมได้ห้องเรียนที่อยู่ใกล้กับห้องดนตรีไทย ( ชั้น 4 )

เราตกลงกันก่อนทำภารกิจว่า หากเจออะไรระหว่างนั้น อย่าลนลานและตกใจจนเกินเหตุ ตั้งสติแล้วกลับมาคุมอารมณ์ให้สงบที่สุด ห้ามเตลิดเด็ดขาด วิญญาณทำอะไรเราไม่ได้ อย่างดีก็แค่มาให้เราเห็น

เมื่อเริ่มภารกิจคนแรกก็เดินขึ้นไปตามห้องที่จับได้โดยเพื่อนที่เหลืออีกสามคนรออยู่ด้านล่าง เมื่อขึ้นไปถึงห้อง ปิดประตูหน้าต่างจนหมดแล้วนั่งกลางห้องรอจนครบเวลาที่ทีมด้านล่างจะขึ้นมาตามจึงถือว่าสำเร็จภาจกิจ (ทีมด้านล่างจะจับเวลาประมาณ 5 นาที จึงจะขึ้นไปตาม) เมื่อลงมาถึงด้านล่างให้คนที่ทำภารกิจเล่าความรู้สึกของตนเอง ว่ากลัวไหม คุมสติได้ไหม เจออะไรบ้าง

Advertisement

Advertisement

ภารกิจดำเนินต่อไป คนแรกไม่เจออะไร คนที่สองเฉยๆ คนที่สามไหวอยู่

และก็มาถึงคนสุดท้าย...คือ ผม

ผมได้ห้องชั้น 4 เป็นห้องเรียนที่อยู่ไม่ไกลจากห้องดนตรีไทยมากนัก หลังรวบรวมความกล้าอยู่พักหนึ่ง ผมก็เดินขึ้นอาคารเรียน ตอนนั้นกลัวมาก บันไดทางเดินทั้งมืดทั้งเปลี่ยว บรรยากาศเงียบมาก พอเดินไปได้จนถึงแค่ชั้นสองเท่านั้นแหล่ะ ผมก็ต้องหยุดนิ่งและยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น !!!!

ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com

ยังไม่เจออะไรครับ...แต่เสียงนาฬิกาของโรงเรียนดังขึ้นมาได้จังหวะพอดี ตอนนั้น 4 ทุ่มแล้ว เสียงนาฬิกาที่ปกติเราเฉยๆกับมันตอนกลางวัน แต่ทำไมพอตกกลางคืนแล้วมันน่ากลัวอย่างนี้ ( จำไม่ได้แล้วว่าเสียงเป็นยังไง )

หลังสิ้นเสียงบอกเวลา ผมตั้งสติอีกครั้ง แล้วเดินไปยังชั้น 4 ปิดประตู ปิดหน้าต่าง เดินไปนั่งกลางห้อง ตอนนี้ทุกอย่างในห้องมืดสนิท พอมืดมากแบบไม่เห็นอะไรเลย ผมก็ตั้งสติ ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร

มันมืดไปหมด ผมมองผ่านความมืดสักพักความกลัวก็ค่อยๆลดลง ที่เหลือก็แค่รอเวลาที่คนข้างล่างจะขึ้นมาตาม มองไปมองมา สายตามันก็วอกแวกจนเริ่มกลัว คือห้องที่ผมนั่ง...ประตูมันไม่มีลูกบิด พอปิดประตูแล้วมันก็เห็นข้างนอกได้จากรูนั้น ( มีแสงไฟส่องเข้ามานิดหน่อย )

นั่งไปจนเกือบ 5 นาที ผมก็เห็นคนเดินผ่านจากรูนั้น เลยห้องที่ผมนั่งไป ( ห้องนี้อยู่ใกล้ๆกับห้องดนตรีไทย แต่มีห้องเรียนอีกห้องหนึ่งกั้นอยู่ ห้องที่ผมนั่งอยู่ติดกับบันได ตามด้วยห้องเรียนห้องหนึ่งแล้วห้องดนตรีไทยจะอยู่ริมสุดของอาคารเรียนฝั่งนี้ )

ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com

ใจผมนึกเพียงอย่างเดียวว่าคนที่เดินผ่านไปนั้นคือแป้ว เพื่อนคนนึงในกลุ่มที่ขึ้นมาตาม ( เขาใส่เสื้อสีขาวเหมือนกับคนที่ผมเห็นว่าเดินผ่านไปเมื่อสักครู่ )

หลังจากนั้น ก็มีเสียงลากเก้าอี้ดังมาจากห้องข้างๆ เหมือนลากเก้าอี้ไปมาเพื่อมานั่ง บอกตามตรงตอนนั้นผมไม่กลัวเลย เพราะคิดว่าแป้วนั่ง อยู่ห้องนั้นและลากเก้าอี้เพื่อแกล้งผม

ก็คิดอะไรเพลินๆไปเรื่อย (เพื่อไม่ให้กลัว) จนแป้วมาตามลงไป ... เมื่อไปถึงด้านล่าง ผมก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทุกคนฟัง พร้อมทั้งตำหนิแป้วว่าแกล้งผมทำไม ?

สิ้นคำบ่นของผม แป้วก็ทำตาโต ตกใจ และอุทานออกมาว่า .... ไอ้ ต.(ชื่อผม) เจอดีแล้ว !!!!

แป้วบอกผมว่า เขาขึ้นไปก็เปิดห้องเรียกผมลงมาเลย ไม่ได้แอบไปนั่งอีกห้องหรือลากเก้าอี้ ...

โชคดีมาก...ที่ผมคิดไปอย่างนั้น ไม่งั้นคงจับไข้หัวโกร๋นไปแล้ว แต่พอมารู้ทีหลังก็ขนลุกอยู่ดี ...

ถ้าไม่ใช่แป้ว แล้วคนที่ผมเห็นว่าเดินผ่านไป รวมถึงเสียงลากเก้าอี้ที่ดังมาจากข้างห้องนั้น.       ใครเป็นคนทำ !!!!

เป็นคำถามที่ผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงทุกวันนี้...

ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์