อื่นๆ
ลิฟท์หลอนซ่อนวิญญาณ

เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นแถวชานเมืองใกล้ๆ กรุงเทพฯ เมืองหลวงของเรานี่เอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เริ่มต้นในคืนวันหนึ่ง ที่ผมทำโอทีจนดึก กว่าจะนั่งรถลงเรือ เดินทางกลับมาถึงที่พักย่านชานเมืองก็เสียเวลาไปมากโข ที่พักของผม เป็นคอนโดสูงที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางความมืดมิด แม้จะดึกมากแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนพลุกพล่านอยู่บ้าง แต่ก็เพียงด้านล่างของตัวอาคารเท่านั้น ส่วนชั้นบนออกจะเงียบสงบ เพราะหลายๆ ห้องเริ่มพักผ่อนนอนหลับกันอย่างสบายใจ
ผมยืนรอลิฟท์อยู่นาน จนเผลอมองนาฬิกาข้อมือบ่อยๆ ผู้คนไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ทำไมการเรียกลิฟท์ครั้งนี้ของผมจึงดูช้ากว่าปกติเสียเหลือเกิน ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว อากาศชวนให้ขนลุกแปลกๆ จนผมเผลอห่อไหล่ และลูบขนแขนที่ตั้งชูชันลุกเกรียวในเวลานั้น และเกือบสะดุ้งกับเสียงสัญญาณลิฟท์ที่ดังขึ้น
Advertisement
Advertisement
ติ๊ง !
ประตูลิฟท์เปิดกว้างออก ผมไม่มีเวลาคิดหรือหวาดกลัวอะไรอีก ผมอาจจะเหนื่อยล้าจนจะจับไข้เองก็ได้ ผมจึงก้าวขึ้นลิฟท์ กดเลขชั้นที่ผมจะขึ้นไป แต่ผมก็เจอเรื่องแปลกๆ อีก ดึกขนาดนี้ ลิฟท์วิ่งไปจอดที่ชั้น 5 ก่อนประตูลิฟท์เปิด และพบว่ามีลุงแก่ๆ ยืนยิ้มอยู่หน้าลิฟท์ ผมกดปุ่มเปิดประตูรอ แต่แกก็ไม่ยอมขึ้น ผมได้แต่ส่ายหน้า ยิ่งรีบๆ อยากไปพัก ลุงมาเล่นสนุกอะไรแบบนี้นะ ผมบ่นกับตัวเอง ปิดประตูลิฟท์และปล่อยให้ลิฟท์ขึ้นต่อไป จนถึงชั้นที่ผมพักอาศัยอยู่ แต่เพียงประตูเปิด ผมก็แทบสะดุ้ง เมื่อได้พบกับลุงแก่คนเดิมยืนยิ้มเพล่อยู่หน้าลิฟท์ ลุงเป็นใครกัน ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะสนใจ ผมแค่อดประหลาดใจไม่ได้ว่า ลุงขึ้นบันไดหนีไฟขึ้นมาไงไวปานนี้ แต่ก็ช่างเหอะ ผมไม่อยากสนใจอะไรอีกละ...ผมบอกตัวเองแล้วก้าวออกจากลิฟท์ หันกลับไปมองอีกที ลุงแกหายไปแล้ว ก็คงเข้าลิฟท์ไปแล้วนั่นล่ะ ผมก้าวเดินเร็วๆ อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องพักผมละ แต่ขณะที่ผมก้มหน้าก้มตากดมือถือส่องโลกโซเชียล ผมก็ชนโครมเข้าให้กับใครอีกคน หลังคำขอโทษ ผมเงยหน้าขึ้นแล้วแทบช็อค ให้ตายเถอะ นี่มันลุงแก่ที่หน้าลิฟท์ ไม่ธรรมดาแล้วนะ แกจะเดินแซงหน้าผมไปได้ไง ในเมื่อตอนผมหันกลับไปมอง แกก็หายไปแล้วนี่นา ผมรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ใจคอไม่ดี หรือผมจะเจอดีเข้าให้แล้ว ผมก้มลงมองพื้น แล้วเงยหน้าขึ้นมองจากปลายเท้าขึ้นมา เห็นลำคอที่ปราศจากศีรษะ เลือดสีแดงพุ่งออกมาราวกับก๊อกรั่ว ไหลลงผ่านเสื้อผ้าของลุงแก่จนนองพื้น พื้นที่มีศีรษะของลุงตั้งอยู่ ผมแทบก้าวขาไม่ออก แต่พยายามเต็มที่ที่จะออกวิ่งแบบไม่คิดชีวิต
Advertisement
Advertisement
"ช่วยด้วย ! ผีหลอก ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยผมด้วย !"
ผมวิ่งหักซุกหัวซุน ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนใจใคร โดยเฉพาะตาลุงแก่นั่น ที่ต้องไม่ใช่คนแน่ๆ ผมรนรานไขกุญแจห้องเข้าไป กดล็อคแน่นหนา แล้วกระโจนพรวดเดียวไปมุดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา คิดในใจว่าหัวไม่โกร๋นก็บุญแค่ไหนแล้ว นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ ที่ผมเจอประสบการณ์หลอนหนักขนาดนี้ และเมื่อผมตื่นมาในยามเช้า สิ่งที่ผมได้เห็น เมื่อก้าวเดินไปหน้าลิฟท์เพื่อไปทำงานตามปกติก็คือ มีพระมานั่งสวดอยู่หน้าลิฟท์ พร้อมกับเจ้าของอาคารที่รีบทักทายและบอกกับผมว่า...เกิดเหตุไม่คาดฝัน กับคุณลุงที่มาเยี่ยมหลานสาว เกิดอุบัติเหตุลิฟท์หนีบคอขาด จึงต้องทำบุญอาคารกัน
หลังประโยคนั้น ผมอดที่จะเหลือบตาไปมองภาพถ่ายของคนตายที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้านั่นไม่ได้ ใช่จริงๆ นั่นคือลุงแก่ที่เขาได้เจอเมื่อค่ำคืนก่อน ถ้าลุงจะเฮี้ยนขนาดนี้ ก็ไม่น่ามาหลอกมาหลอนผมเป็นคนแรกแบบนี้เลยนะ หรือว่า...จะเป็นแจ็คพ็อตของผมพอดีก็สุดรู้ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ขอเถอะนะลุง อย่าได้ตามมาหลอกมาหลอนผมอีกเลยในชาตินี้ ผมกลัวจริงๆ และบอกตรงๆ เลยว่า ผมคงเข็ดกับการขึ้นลิฟท์ ณ จุดเกิดเหตุไปอีกนานแน่ๆ !
Advertisement
Advertisement
ขอบคุณภาพจาก : Daphne Arce
ความคิดเห็น






