ไลฟ์แฮ็ก
วิธีโน้มน้าวตัวเองเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ

“งานสำคัญที่สุดที่เราต้องลงมือทำก่อน คืองานภายในใจเรา เมื่อสำเร็จแล้ว ค่อยย้ายมาสู่โลกภายนอกเพื่อเก็บเกี่ยวผลที่ปรารถนา”
ความฝัน... เป้าหมาย... ความปรารถนา
คนเราทุกคนต่างก็มีความหวัง ความฝันและเป้าหมาย ต่างก็มีภาพยนตร์ส่วนตัวฉายอยู่ในใจ โดยมีตัวเองรับบทเป็นพระเอกนางเอก อย่างไรก็ตาม พวกเขามักจะพลาดตรงที่ไม่ได้ฉายภาพยนตร์นั้นได้ครบทั้งเรื่อง การที่เราตะสร้างอะไรสักอย่าให้เป็นจริงขึ้นมาต้องอาศัยกระบวนการที่ชัดเจน จึงไม่น่าแปลกใจหากบางฝันกลายเป็นจริงขึ้นมาแล้วกลับพาให้เกิดความยุ่งยากตามมา

สภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็คือ จินตนาการที่เห็นตัวเองทำอะไรต่อมิอะไรนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการ ซึ่งช่วยให้จิตของเรามีเป้าหมาย แต่สิ่งที่จิตจะยอมรับและแปรไปเป็นพฤติกรรมได้นั้น จะต้องเป็นประสบการณ์ที่เราเข้าไปสัมผัสอย่างเต็มที่จริง ๆ จึงจะสามารถโน้มน้าวจิตใจให้เห็นเป็นจริงได้ เมื่อนั้นฝันจึงจะกลายเป็นความจริงและก่อให้เกิดเป็นพฤติกรรมตามมา
Advertisement
Advertisement
เริ่มแรก มันเป็นเพียงแค่ความคิดความฝัน คุณจำเป็นจะต้องลากเอาเป้าหมายจากฝันนั้นมาสร้างให้กลายเป็นจริงซึ่งต้องอาศัยทั้งการลงมือทำ ความตั้งใจ โฟกัส และพฤติกรรมที่สัมพันธ์กัน เพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลในปัจจุบันขณะ การวางเป้าหมายแล้วโปรแกรมมันเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกของคุณด้วยการซ้อมทำกระบวนการนั้นซ้ำ ๆ จะเพิ่มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
พูดคุยกับตัวเองเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ การพูดคุยกับตัวเอง มีผลต่อสุขภาพ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า คนเราเริ่มที่จะกุมบังเหียนอานุภาพแห่งจิตของตนได้ด้วยการเข้าไปควบคุมเรื่องที่จะคิดให้เป็นทางบวกอย่างจริงจัง ด้วยวิธีนี้ ก็จะสามารถเผชิญกับอุปสรรคที่ท้าทายได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพหรือเรื่องอื่น ๆ ด้วยความมั่นใจว่าตยจะประสบผลสำเร็จได้หากใส่ใจคิดบวกกับมัน
หากคุณฝึกทักษะนี้บ่อย ๆ และสามารถปรับเปลี่ยนสภาวะของจิตไปด้วยในขณะเดียวกันก็จะได้ผลเร็วขึ้น อันที่จริงคุณก็ปรับเปลี่ยนสภาวะจิตของคุณอยู่แล้วเนือง ๆ กิจกรรมประเภท การเจริญกรรมฐาน การสวดมนต์ การสะกดจิต การครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง การทำสมาธิในรูปแบบใดก็ตาม ล้วนถือเป็นการปรับเปลี่ยนสภาวะของจิตทั้งสิ้น จิตที่อยู่ในสภาวะนี้จะเปิดรับการแนะนำได้ดีที่สุด
Advertisement
Advertisement
ต่อจากนี้ไป เราจะแนะนำวิธัโปรแกรมจิตเพื่อใส่แนวคิดและความรู้สึกที่ถูกต้องเข้าไป ส่งผลให้เกิดมโนภาพและสภาวะจิตที่ถูกต้องเราจะค่อย ๆ สาธิตให้คุณผู้อ่านดู เพื่อให้คุณฝึกทำได้อย่างถูกวิธีค่ะ
กระบวนการที่เราจะใช้ก็คือ “การตอกย้ำยืนยันกับตัวเอง” การตอกย้ำกับตัวเองเป็นความคิดที่คุณสร้างสรรค์ขึ้นมาแล้ว กล่าวตอกย้ำกับตัวเองวันละหลายครั้งต่อเนื่องกันไปหลาย ๆ วันเพื่อเป็นปัจจัยให้เกิดผลสำเร็จอย่างที่คุณปรารถนา เทคนิคนี้ใช้การกล่าวย้ำซ้ำ ๆ

“ยิ่งคุณย้ำกับจิตของคุณบ่อย ๆ แนวโน้มที่มันจะตอบสนองก็มีมากขึ้นเพียงนั้น”
คุณอาจจะนึกประโยคตอกย้ำเหล่านี้ได้มากมาย แต่ตามความเห็นของเราแล้ว เลือกใช้ทีละไม่กี่ประโยคจะช่วยให้คุณโฟกัสได้ดีดว่า ตัวอย่างของประโยคที่คุณจะใช้ในการตอกย้ำได้แก่
ฉันชอบความสำเร็จ
ฉันชอบความรู้สึกมั่นใจ
ฉันอภัยให้ได้
ฉันปรับปรุงได้
ฉันชอบการเปลี่ยนแปลง
ฉันชอบความรู้สึกว่าตัวเองสุขภาพดี
การมีรูปร่างดี หุ่นงาม ทำให้ฉันภูมิใจ
ฉันก้าวเข้าไปใกล้เป้าหมายขึ้นทุกวัน
การคิดบวกทำให้ฉันมีความสุขมากขึ้น
Advertisement
Advertisement
ประโยคตอกย้ำที่คุณเลือกจะต้องเหมาะกับจิตไร้สำนึกของคุณเพราะคุณกำลังพยายามฝังมันลงไปในจิต เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและมโนภาพขอบคุณเอง
เมื่อความคิดเหล่านี้หยั่งรากฝังลึกลงในจิตไร้สำนึกของคุณแล้วมันจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกาย อารมณ์ จิตใจ และ จิตวิญญาณ ทุก ๆ วันเราต่างก็เกิดความคิดเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งโดยที่เราแทบจะไม่รู้ตัวว่าคิดอะไรบ้าง เพราะสติตามไม่ทัน แต่ความคิดเหล่านี้ที่ทำให้เรารู้สึกและเชื่อว่าเราเป็นใคร ทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้บ้างเทคนิค “ตอกย้ำยืนยัน” นี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมกระบวนการของความคิดได้ และประสบความสุขและความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น
เครื่องตรวจจับความไม่เอาไหนในตัวคุณ อย่างไรก็ตาม เราต้องขอเตือนให้คุณระมัดระวังกับดักในการเลือกประโยคตอกย้ำเอาไว้ด้วย
เช่น หากเป้าหมายของคุณคือลดหุ่น น้ำหนักของคุณกินพิกัดอยู่ คุณจึงพูดตอกย้ำกับตัวเองว่า “ฉันรูปร่างดี หุ่นงามสุขภาพดี” แน่นอน... จิตจะตอบคุณสวยกลับมาทันทีว่า “ไม่จริง... นอกจากรูปร่างจะไม่ดี หุ่นจะไม่งาม สุขภาพก็ไม่ได้เรื่องแล้ว ยังโง่ที่ไม่รู้ตัวอีก” แม้พยายามพูดตอกย้ำกับตัวเองไปหลายรอบก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ผล คนส่วนใหญ่จึงถอดใจยอมแพ้และมความเห็นว่าเทคนิคนี้ไม่ได้ผล
อย่างไรก็ตาม หากคุณเปลี่ยนประโยคตอกย้ำซะใหม่เป็นแบบนี้ ฉันชอบที่จะมีรูปร่างดี หุ่นงามและสุขภาพเยี่ยมด้วย “จิตมันจะตอบสนองทันทีว่า” เออ.. ตอนนี้เรามีรูปร่างดี หุ่นงาม สุขภาพเยี่ยมแล้วหรือยัง คำตอบก็คือ “ยัง” (ปัจจุบัน) จิตจะถามต่อไปว่า เราเคยรูปร่างดีหุ่นงาม สุขภาพเยี่ยมมาแล้วหรือเปล่าในอดีต คำตอบก็น่าจะเป็น ใช่ เคยแล้ว (อดีต) “เราชอบความรู้สึกตอนนั้นไหม... ชอบสิ... ลองวาดภาพว่ารูปร่างแบบนั้นมันกลับมาอีกในตอนนี้ได้ไหม... ได้สิ (อนาคต)

จะเห็นได้ว่า วิธีนี้จะทำให้คุณขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้องเพราะจิตของคุณจะเก็บเกี่ยวเอาความทรงจำในอดีตขึ้นมาอยู่ในปัจจุบัน และสร้างมโนภาพต่อไปว่ามันควรจะเป็นอย่างนี้ในอนาคต
จะเห็นตัวอย่างที่เรายดมานี้ จะเห็นได้ว่าประโยคที่เราใช้ตอกย้ำกับจิตคือตัวตัดสินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จิตของเราจะตอบสนองกับคำทุกคำที่คุณคิดหรือพูดกับตัวเอง
สมมุติว่าเป้าหมายของคุณคือ “ต้องการเชื่อมั่นกับตัวเองให้มากขึ้น” คุณผ่านกระกวนการผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว และเทคนิคการซักซ้อมในใจก็ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ลองใช้ประโยคตอกย้ำในใจเพื่อความเข้มข้นให้แรงฮึดของคุณอีกสักนิด
สมมุติว่าประโยคตอกย้ำในใจที่คุณเลือกคือ “ฉันชอบความรู้สึกมั่นใจและผ่อนคลาย” คุณก็รู้ดีว่า เมื่อใดที่คุณพูดไม่ว่าจะพูดออกมาดัง ๆ หรือพูดในใจจิตก็จะตอบสนองกับทุกถ้อยคำจากประโยคที่ว่านี้จิตจะคำนึงถึง ปัจจุบัน อดีต และอนาคต แล้วจะตั้งคำถามกับคุณทันทีในแง่ปัจจุบัน
จิตจะถามว่า “ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น”
ในแง่อดีตจิตก็จะถามว่า “เราเคยเจอแบบนี้มาก่อนไหม
ในแง่อนาคตจิตก็จะถามว่า “เราพอจะนึกภาพออกไหมว่ามันจะเป็นอย่างไร
หากขณะที่คุณเอ่ยประโยคตอกย้ำนี้กับจิตเป็นช่วงที่คุณกำลังขาดความมั่นใจ เช่น คุณกำลังจะขึ้นเวทีเพื่อแสดงถ้อยคำต่อหน้าสาธารณชน เมื่อจิตได้ยินประโยคตอกย้ำของคุณว่า ฎฉันชอบความรู้สึกมั่นใจและผ่อนคลาย” มันจะตรวจสอบในแง่ปัจจุบันมาทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้น หากมันตั้งคำถามว่า “ตอนนี้เรากำลังมั่นใจในตัวเองและรู้สึกสุขสงบไหม” แน่นอน คำตอบคือ “ไม่” เมื่อมันตรวจสอบต่อไปในแง่อดีต “เราเคยมั่นใจในตัวเองและรู้สึกสุขสงบมาก่อนไหม” คำตอบก็น่าจะเป็น “เคยมาแล้ว” เพราะไม่ว่าใครก็ตามต้องเคยรู้สึกแบบนี้มาแล้วทั้งนั้นจะสั้นหรือยาว และเกิดพร้อมกันหรือต่างกรรมต่างวาระกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในที่สุด จิตก็จะมาถึงแง่อนาคต “พอจะนึกภาพออกว่าเรามั่นใจในตัวเองและรู้สึกสุขสงบได้ไหม” คำตอบก็น่าจะเป็น ได้แน่นอน เช่นกันค่ะ

คำตอบรับเหล่านี้จะสร้างเส้นใยที่เชื่อมโยงไปสู่ประสบการณ์ที่เรากำลังมองหา เพราะในการค้นหาประสบการณ์ที่คุณเคยมีในอดีตหรืออาจอาจมีได้ในอนาคตนั้น สมองจะต้องเข้าไปสู่แฟ้มความทรงจำหรือข้อมูลที่เคยตราประทับเอาไว้และปลดหล่องความรู้สึกที่ถูกเชื่อมโยงออกมา
เช่น เวลาที่คุณเห็นอะไรสักอย่าง หรือได้ยินอะไรสักอย่างแล้วเกิดการตอบสนองขึ้นมา ความงดงามของมันก็คือ กระบวนการที่สมองจะเข้าไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์เหล่านี้ แล้วปลดปล่อยความรู้สึกออกมาจะเกิดขึ้นเร็วมากจนเราไม่รู้สึกตัว จึงรับรู้ได้แต่ความเชื่อมั่นในตัวเองกับความรู้สึกผ่อนคลายที่ยังคงค้างอยู่ เพื่อให้คุณใช้ประโยชน์ต่อไปได้ กล่าวโดยสรุปก็คือ มันช่วยให้เริ่มงานกันได้
การเอ่ยประโยคตอกย้ำเพียงครั้งเดียวมักจะไม่เพียงพอ ยิ่งเอ่ยมันซ้ำ ๆ มากครั้งเท่าไหร่ จิตก็จะเข้าไปสัมผัสเชื่อมโยงกับความทรงจำหรือข้อมูลเดิมในสมองบ่อยครั้งเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลต่อไปให้ความรู้สึกที่ถูกปลดปล่อยออกมาเข้มข้นขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ที่จะนำไปพัฒนาต่อหรือดึงเอาไปใช้ จนฝันนั้นกลายเป็นจริงสำหรับคุณ ในที่สุดคุณจะเกิดความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น และผ่อนคลายมากขึ้นในสถานการณ์ที่จำเป็น!
เอาล่ะ.. คุณทราบวิธีการแล้วว่า... อย่าลืมว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่การตอกย้ำซ้ำ ๆ หากคุณนึกภาพตัวเองที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจในอนาคตขึ้นมา 1 ภาพ มันก็คือภาพที่คุณโปรแกรมลงไปในสมองของคุณ 1 ภาพเพราะฉะนั้นถ้าคุณต้องการประคองให้ภาพนั้นยืนยาวต่อไป คุณก็ต้องขยายจากภาพเดียวนั้นออกเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง คุณต้องก้าวเข้าไปอยู่ในนั้น ใช้สัมผัสทุกด้านที่คุณมี... ตอนที่บรรลุผลอย่างที่คุณต้องการแล้ว คุณเห็นได้ยินกลิ่น รู้รสและรู้สึกยังไงบ้าง ด้วยวิธีนี้แหละที่ระบบประสาทจะพาคุณโลดลิ่วไปสู่เป้าหมาย ฝึกทักษะนี้ให้บ่อยเข้าไว้คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้เอง
ขอบคุณภาพปกจาก unsplash.com
ขอบคุณภาพประกอบเนื้อหา ภาพที่ 1 , ภาพที่ 2 , ภาพที่ 3 , ภาพที่ 4
ความคิดเห็น






