อื่นๆ
หนูเป็นชาวพม่า ? ชาวมอญ ?

ในช่วงชีวิตวัยเด็กของใครหลายคน คงมีเรื่องราวต่าง ๆ นานัปการ อาจเป็นเรื่องดีหรือร้าย อาจทำให้สุขหรือทุกข์ อาจถูกชื่นชมหรือถูกตำหนิ เรื่องราวราวเหล่านั้นล้วนเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ต้องเผชิญ แต่สำหรับเรื่องราวที่เจ็บปวดไม่น้อย คือ “การโดนมองแปลกแยกไปจากสังคม(ไทย)” ที่พยายามก่อกำแพงใจและสร้างความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ในสังคมขึ้นมา และแม้บางคนกล่าวอ้างถึงความเท่าเทียมกันในทางกฎหมาย
แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้น “ความไม่เท่าเทียมในจิตใจของมนุษย์” ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ เฉกเช่นสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งที่เกิดมาไม่มีสัญชาติ เนื่องด้วยความผิดพลาดของครอบครัวในการแจ้งเกิด ทำให้เธอดูแปลกแยกไปจากสังคม(ไทย) ซึ่งมักเรียกเพื่อนบ้านประเทศใกล้เคียงว่า “ต่างด้าว” แต่กลับเรียกชาติอื่น ๆ เช่น ยุโรป ว่า “ต่างชาติ”
Advertisement
Advertisement
เธอถูกผลักให้กลายเป็นคนชายขอบ ที่ต้องเจ็บปวดกับคำเหยียดหยามและความไม่เท่าเทียมในสังคม
จนผู้เขียนเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า “เธอทำผิดอะไร?” “ผิดที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นคนไทย?” “ผิดที่เธอเกิดและโตอยู่ในสังคมไทย?” “หรือแท้ที่จริงแล้วเธอไม่ได้ผิดอะไรเลย?”
พ่อแม่เธอเป็นชาวมอญ (รัฐทางตอนใต้ของเมียนมาร์ ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอดีต) ได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยโดยใช้เส้นทางระนอง ด้วย Passpost การทำงานของแรงงานพม่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา จนกระทั่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานร่วมกับพี่น้องชาวมอญชาวพม่าในพื้นที่แถบเขาน้อยในอำเภอสิชล ประกอบอาชีพรับจ้างกรีดยางและใช้แรงงานเป็นหลัก
แผนที่แสดงที่ตั้งของรัฐมอญในประเทศเมียนมาร์
ขอบคุณภาพจาก http://themimu.info/
Advertisement
Advertisement
เธอไม่มีบัตรประชาชนแสดงถึงตัวตน มีเพียงชื่อและนามสกุลที่บ่งบอกถึงความแปลกแยก “ชาวพม่า” ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องแปลกใจและบ้างก็หัวเราะ โดยเฉพาะตอนได้รับโอกาสให้เข้าเรียนในโรงเรียนของไทยเมื่อตอนประถม 1 ซึ่งเกินเกณฑ์ไปสองปี ความแปลกแยกในสายตาของเพื่อน และครูบางท่านก็ยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้น “ความดูถูกดูแคลน” “ล้อเลียน” “รังแก” “”ผลักไส” “เพิกเฉย” คือสิ่งที่เธอต้องเผชิญทุกวี่วัน
“ไม่ได้คิดอะไรแล้ว เพราะที่ผ่านมาต้องเจอกับคำพูดเหล่านี้มากมาย จนรู้สึกชิน(และชา)ไปเสียแล้ว” เธอกล่าวออกมา พร้อมรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดในแววตาทั้งสอง
เธอรู้สึกไม่อยากเรียนต่อเมื่อจบการศึกษาระดับประถม 6 แต่ทว่าด้วยความช่วยเหลือจากครอบครัว โรงเรียน ตลอดจนหน่วยงานราชการที่สนับสนุนทุนการศึกษาให้อยู่เสมอ ทำให้เธอมีโอกาสศึกษาในระดับมัธยมและได้รับการเปลี่ยนนามสกุลจาก “ชาวพม่า” มาเป็น “ชาวมอญ” ตามกลุ่มชาติพันธุ์แท้จริงของตน (แต่ในฐานข้อมูลบางระบบ เช่น O-NET ยังคงเป็น ชาวพม่า)
Advertisement
Advertisement
“ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพ่อแม่จะมีเงินส่งเสียหรือเปล่า เพราะต้องส่งน้องเรียนอีกสองคน” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ก่อนเปลี่ยนสีหน้าจากเศร้าหมองมาเป็นยิ้มแย้มเมื่อได้เล่าถึงความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็น Designer นักออกแบบเสื้อผ้า
เมื่อเป็นเช่นนั้นหนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ คือ การเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย (และมหาวิทยาลัย) แม้หลายคนมองว่าไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบ เพราะใบปริญญาไม่สามารถวัดหรือการันตีความสำเร็จของชีวิตได้ แต่อย่าลืมว่าการศึกษา
และเราจะแน่ใจได้อย่างไรกับความเป็นอยู่ที่โดนมองว่า “แปลกแยกในสังคม(ไทย)” จะประสบความสำเร็จได้ง่าย ๆ หากปราศจากการผลักดันตนเองขึ้นมา ก็จำต้องถูกผลักไสหรือกดทับไว้ดังเก่า
เราจะอยู่แปลกแยกอย่างโดดเดียวหรือโดดเด่นในสังคม(ไทย) ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเธอเอง ดังตัวอย่างชาวไทยเชื้อสายมอญรุ่นเก่า เช่น ท่านสุเอ็ด คชเสนี ท่ามหาพวน รามัญวงศ์ คุณองค์ บรรจุน ฯ

สุดท้ายนี้ในฐานะของคน(ไทย)คนหนึ่งที่พยายามค้นหาและสร้างความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ด้วยการลดอคติทางความคิดและไม่สร้างกำแพงกั้นใจระหว่างกัน กำแพงที่เป็นเพียงมายาคติจากประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ การปลูกฝังทางความคิด จากทั้งครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ความคิดชาตินิยมที่ยกย่องตนว่าเจริญและเหนือกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นใด จนกระทั่งมองบุคคลเหล่านั้น “แปลกแยกไปจากสังคม” จนลืมมองดูโคตรเหง้าของตนที่ล้วนเป็นลูกผสมหลากชนชาติ ซึ่งยากจะหาความเป็นไทย(แท้)ในกาย
ความคิดเห็น






