อื่นๆ
อยู่ห่างกันคนละฟากฟ้า ชีวิตต่างแดน “กรุงพนมเปญ”

เวลาจะพาเราออกเดินทางห่างไกลจากที่พักไปเรื่อยๆ นั้นคือการเรียนรู้เมื่อเราเดินทางไปอยู่ในสถานที่ใหม่ เมืองใหม่ สิ่งที่เราจะต้องทำคือจำสถานที่ที่โดดเด่นและอยู่ใกล้ที่พักมากที่สุด เพื่อให้อุ่นใจไม่หลงทาง แต่สำหรับบางคนการหลงทางคือประสบการณ์และความรู้ใหม่ บางครั้งเราอาจจะได้พบเพื่อนคนใหม่ และได้เที่ยวในสถานที่แห่งใหม่ หลงทางไม่ยาก แค่ถอยกลับมาตั้งหลักที่เดิม
การเดินทางเพื่อไปพักและอยู่ยาวต่างประเทศหนึ่งปีครั้งแรก เป็นสถานที่ที่ไม่เคยกระทั่งการไปเที่ยว สถานที่แห่งนี้แน่นอนว่าต้องพบแต่ผู้คนที่แปลกหน้า ในแผ่นดินที่ไม่ใช่บ้านเกิดแผ่นดินของแม่เรา แม้ผู้คนจะเยอะมากมายเพียงใด ใจก็ยังเหงา เพราะถ้าหากอยู่ที่บ้านคนขับรถสวนทางก็จะทักทายด้วยภาษาคุ้นเคยของเราจะรู้แม้กระทั่งบ้านเกิดลูกหลานใคร แต่นี่เราไม่รู้ ไม่รู้ถนน ไม่รู้สถานที่ที่จะเดินไป วันแรกจึงเพียงอยู่บนที่พักและมองออกนอกหน้าต่าง ดูรถขับอยู่ถนนหน้าโรงแรมเล็กๆ ในส่วนของอาหารมีอยู่ในกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่อัดเต็มไปด้วยขนมซึ่งพอยาไส้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ได้ คงจะต้องเป็นคนญี่ปุ่นไปสักหนึ่งอาทิตย์
Advertisement
Advertisement
หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น มหาวิทยาลัยเริ่มเปิด เริ่มมีเพื่อนนักศึกษา และคนรู้จักมากขึ้น แน่นอนเราต้องมีเพื่อนสนิทที่คุยกันได้ทุกเรื่อง คือรุ่นพี่ที่เคยทำงานที่นี่มาก่อนหลายปี เรียกได้ว่ารู้ทุกซอกมุม ขอให้บอกว่าอยากไปที่ไหน อยากทานอะไรจัดให้ทันที นอกจากนั้นเรายังมีน้องสองคนที่มาฝึกงานสามเดือนคอยเป็นเพื่อนเดินไปไหนมาไหน เดินกลับบ้านบ้าง หรือบางทีก็เดินไปทานอาหาร ได้พูดคุยเวลานอนก็มีคนปลุก เพราะต้องลุกไปทำงานแต่เช้า
เสาร์อาทิตย์เวลาของความสุข แน่นอนสำหรับทุกคน เวลาที่เราว่างหรือวันที่เราไม่ได้ทำงาน เราอาจจะบอกกับตัวเองว่าเราจะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่คงไม่ใช่สำหรับ เพราะเสาร์อาทิตย์คือวันที่โปรแกรมแน่นมาก วางแผนเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่ตอนเช้า กลับเข้ามาอีกทีก็คือตะวันตกดิน เตรียมนอนพักผ่อนยาวๆ เพื่อเช้าวันใหม่ของการทำงาน
Advertisement
Advertisement
บ้านพักที่หลับนอน
ด้วยความโชคดี จึงมีที่พักอยู่ใกล้กับที่ทำงาน ใช้เวลาเดินเท้าประมาณห้านาทีก็ถึง เดินตรงอย่างเดียว ที่นอนอยู่แบบครอบครัว ในครอบครัวมีแต่ลูกชาย เราเป็นลูกสาวอีกคนหนึ่งที่เข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น มีเพื่อนสี่ขาสามตัว ที่คอยทักทายทุกเช้าและเล่นด้วยตอนกลับมาจากทำงาน ในบ้านมีห้องออกกำลังกาย ห้องนั่งเล่น ห้องดนตรี ห้องสมุด เรียกได้ว่าอยู่ชั้นบนคนเดียว วันไหนไม่เห็นออกมาจากห้องก็จะเริ่มสงสัยมาเคาะทานข้าว
แม่บ้านแสนดี โมลีและทองดี
แม่บ้านเป็นห่วงเรามาก กลัวว่าเราจะเหงา บางวันก็จะมานั่งคุยด้วย คุยแบบภาษากาย เพราะบางคำเราก็คุยกับเขาไม่เข้าใจ เพราะภาษาอังกฤษสื่อสารไม่ได้กับแม่บ้าน คุยกันทีเมื่อยมือนั่งเปิดพจนานุกรมรูปภาพ หลังๆมากลัวว่าเราจะเหงาเลยให้ย้ายลงมาอยู่ด้านล่างด้วยกัน เข้าออกบ้านสบายกว่าเดิม เพราะว่าไม่ต้องขึ้นบันไดให้เหนื่อย เข้าบ้านเดินเข้าห้องได้เลย
Advertisement
Advertisement
ถ้าวันไหนว่าง จะเดินไปตลาดกับแม่บ้าน ไปหาซื้อของกินมากักตุนไว้ และเป็นการเปิดโลกด้วย ออกนอกห้องสูดอากาศบ้าง วันหยุดราชการก็ต้องแต่งตัวออกจากบ้านแต่เช้า ไปเล่นสวนกับเจ้าสี่ขา มีสวนมะม่วง สวนผลไม้หลายชนิด
ห้องนอนสำหรับเอนกายพักผ่อน
ความสุขของคนเราขอเพียงนอนหลับ ทานอาหารอร่อย ไม่เจ็บไม่ป่วยเท่านี่ก็มีความสุขแล้ว ห้องนอนวันที่แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด ซึ่งหนึ่งอาทิตย์แม่บ้านจะทำความสะอาดให้สองวัน และในวันศุกร์ก็จะเปลี่ยนที่นอนและนำไปซัก เข้ามาห้องก็จะตกใจบ้างเล็กน้อยเพราะสีของผ้าปู ถ้าชิ้นไหนเรารัก ให้เราแอบไว้เดี๋ยวเอาไปซักกลิ่นหายไปหมด
อาหารการกิน
อาหารไม่ต้องคิดมากตอนเช้า แต่งตัวเสร็จเดินไปที่โต๊ะทานข้าวได้เลย เพราะประมาณ 6:30 แม่บ้านจะนำอาหารและน้ำมาวางไว้เรียบร้อย ซึ่งอาหารจะเป็นอาหารเช้าที่อุ่นท้องและมีขนม ผลไม้ด้วยเสมอ ที่สะดุดตาจนต้องถ่ายภาพทุกเช้าคือ ตกแต่งจานได้นารักมาก
โต๊ะอาหาร
ทุกวันอาหารจะไม่ซ้ำแบบ และมีแจกันดอกไม้สดทุกวัน มองทีไรก็ยิ้ม ซึ่งหลังจากที่นำอาหารมาวาง แม่บ้านก็จะแอบดูอยู่ไม่ให้เราเห็นว่าเรานั้นทานอาหารหมดไหม ทานได้ไหม อร่อยไหม แค่มองลายของผ้าปูโต๊ะก็อิ่มแล้ว
น้ำชาร้อน
ความนิยมของที่นี่ จะนิยมทานน้ำชาจะไม่ค่อยมีน้ำเปล่าให้เห็นมากนัก เพราะชานั่นเป็นน้ำที่สะอาด ซึ่งชาที่แม่บ้านชงให้ทานทุกวันนั้น เป็นชาจากอังกฤษ บางวันชามะลิ ชากล้วยไม้ ชาเปลี่ยนกลิ่นทุกอาทิตย์ แต่ด้วยความที่เราคุ้นเคยกับการทานน้ำเปล่าเย็นๆ จึงขอน้ำแข็งมาทานกับชาร้อน และรอให้น้ำแข็งละลายกลบความขมของชา ไม่ใช่เฉพาะที่พักเท่านั้นที่มีน้ำชา ทุกร้านอาหาร แม้แต่ร้านอาหารในมหาวิทยาลัยก็มีน้ำชาบริการ ถ้าหากเราอยากทานน้ำเปล่าต้องแบกไปทานเอง แต่อยู่ไม่นานก็ชินกับการกินชา ซึ่งบางร้านชาหอมมาก อร่อยด้วย
สีของน้ำชาที่บ้านช่างเข้มข้นมาก
แค่มองดูจากสีก็รู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร ยิ่งแช่นานจะยิ่งเข้มมากกว่านี้ แต่เราก็ต้องทานให้แม่บ้านรู้สึกดีใจหน่อย เพราะเวลามาเก็บอาหารถ้าหากเราทานเหลือ จะทำให้แม่บ้านโดนบ่น เรื่องของการทำอาหารไม่อร่อย
น้ำจิ้มรสเด็ดมาก
สิ่งที่มีในทุกๆเช้า นั่นคือน้ำจิ้ม ไม่ว่าจะเป็นน้ำจิ้มไก่ น้ำจิ้มผัก หรือน้ำจิ้มผลไม้ คงเพราะต้องการจะลองดูว่าเรานั้นจะชอบอาหารแบบไหน หรือชอบรสชาติแบบไหน แต่หลังจากชิมทุกอย่างแล้วอร่อยผ่านหมดเลย ราดข้าวสวยร้อนๆ ทานได้เลย
การจัดจานอาหาร
อาหารทุกจานกว่าที่จะทำได้ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก เพราะว่ากว่าจะหั่นแล้วจัดเรียง ยิ่งถ้าเป็นผักบางวันมีการแกะสลัก เรียงเป็นรูปต่างๆสัตว์บ้าง หัวใจบ้าง แล้วแต่ไอเดียของแม่บ้าน ทุกเช้าจะลุ้นว่าบนโต๊ะอาหารจะมีอาหารอะไร แล้วจะอร่อยไหม บางคืนอดอาหารมาเพราะพอสอนเสร็จ ร้านอาหารปิดหมดเลยต้องอดไว้รอทานวันพรุ่งนี้
อาหารของชอบ ที่ทานเท่าไหร่ไม่เคยเบื่อ
ความอร่อยของอาหารเช้า นั้นจะมีไม่ค่อยเยอะ นั่นคือข้าวหน้าหมู หรือไทยเรียกว่า ข้าวหมูย่าง จะมีน้ำอย่างหนึ่งที่ราดใส่ด้านหน้า อร่อยพอเราได้ทานหลายๆ ร้านเราจะสังเกตได้เลยว่า น้ำที่ราดจะต่างกัน ส่วนหมูนั้นเป็นหมูหมักติดมันแล้วย่างด้วยไฟร้อน แต่ถ้าเป็นในบ้านนั้นแม่บ้านใช้วิธีการอบ จึงทำให้ไม่ค่อยมันและไหม้เท่าไหร่ น้ำจิ้มอร่อยเช่นกันพอดี คงเหลือแต่ผักสามชิ้นไว้ให้ดู
ขนมสลับผลไม้
นอกจากอาหารแล้ว บนโต๊ะอาหารยังมีผลไม้ หรือบางวันขนมหวาน สลับกันไป เช่นในภาพคือขนมรังแตนบ้านเรา ซึ่งเราจะคุ้นเคยกับความหอมของเนยและแป้งนุ่น มีไส้หลายๆไส้ผสมกัน แต่สำหรับของที่นี่ กลับไม่ค่อยหวาน แต่ก็พอทานได้ อะไรที่ทานหมดจานมักจะกลับมารอบสอง
เมนูอาหารสั่งได้ ถ้าหากเราต้องการทานอะไรบอกได้
สองอาทิตย์ผ่านไป เราเริ่มรู้จักสถานที่ เพราะวันไหนวันหยุด จะเดินเล่นรอบบ้าน เดินไปจนสุดถนนแล้วก็กลับมาบ้าน จำเส้นทาง จำร้านค้าเพื่อสะดวกในการซื้อของ เราก็จะเดินไปตลาดใกล้ๆ ซื้อผักซื้อมาให้แม่บ้าน แล้วบอกว่าอยากทานผัดผักบุ้ง ตอนเช้าอาหารของเราก็คือ ผัดผักบุ้งวางบนโต๊ะอาหาร หรือถ้าหากอยากทานไข่เจียวก็บอกได้ อร่อยทุกอย่าง
จำข้างบ้าน เพราะหน้าบ้านจอดไม่ค่อยได้
หลังจากเริ่มคุ้นเคยกับตรอกซอกซอย ก็เริ่มออกไกลจากบ้าน โดยการนั่งรถรับจ้างบ้าง รถตุ๊กๆ รอบเมืองบ้าง แต่บอกบ้านที่จะลงไม่ได้ ก็จะใช้ว่าถนนอะไร และบอกให้รถนั้นจอดให้ หรือถ้าหากรถไม่รู้ ก็จะบอกว่าลงตลาดบ้าง ลงที่ทำงานบ้าง จากนั้นค่อยเดินกลับบ้าน จะได้ออกกำลังกายด้วย
กลับบ้านผิดเวลาให้บอกก่อน
ด้วยความที่เรานั้นเป็นผู้หญิง จึงต้องเน้นในเรื่องของความปลอดภัยมากหน่อย แม่บ้านจะมีเบอร์ของเราเพื่อใช้โทรหาหรือให้เรานั้นโทรบอกมาดาม เพราะเขาจะเป็นห่วงเราถ้าหากเรานั้นกลับบ้านผิดเวลา ถ้าเมื่อไหร่ที่เรานั้นไม่ได้บอก แม่บ้านก็จะนอนไม่เป็นหลับเป็นตื่นเพราะต้องรอเปิดประตูให้เรา ซึ่งเขาจะต้องตื่นแต่เช้าขึ้นมาทำอาหารด้วย
ถ้าต้องการจะไปไหนบอก
การเดินทางในตอนกลางคืน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องปลอดภัย มีครั้งหนึ่งเรานั้นต้องการที่จะกลับบ้าน และได้ให้เพื่อนจองรถเพื่อไปขึ้นที่คิว แต่พอใกล้เวลาจะออกมาจากบ้าน กลับต้องเปลี่ยนแผนเพราะอาจารย์ผู้ชายจะเป็นคนไปสงขึ้นรถ เพราะกลัวความปลอดภัย ถ้าหากเรานั่งรถแท็กซี่จะต้องมารับหน้าบ้าน แม่บ้านก็ต้องอดหลับอดนอนมานั่งเป็นเพื่อน
ความสุขของการได้เดินทางออกนอกประเทศ คือความตื่นเต้นการเรียนรู้ประสบการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน การเรียนรู้การเอาตัวรอดเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน แต่สิ่งที่เราแลกคือความห่างไกลจากครอบครัว แต่คนเราจะต้องลองก้าวออกมายืนด้วยลำแข้งของตนเอง เพราะแท้ที่สุดแล้วไม่มีใครคอยช่วยเหลือเราไปได้ตลอดชีวิต เมื่อไหร่ที่เราโตการขอเงินพ่อแม่ใช้ก็คงต้องหมดไป เราเองควรที่จะให้ครอบครัวได้พึ่งเรา ถ้าหากใจเราสู้ก็จะพาทำให้ร่างกายสู้ด้วยเช่นกัน อย่าบอกว่าทำไม่ได้ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร
ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นของผู้เขียน (อุ้งเท้าแมว)
เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์
Advertisement
Advertisement
Advertisement
Advertisement
Advertisement
ข้อตกลงและเงื่อนไข|Copyright © True Digital & Media Platform Company Limited. All rights reserved