อื่นๆ

อาหารกับความเชื่อในอดีต ที่ไม่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน

565
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
อาหารกับความเชื่อในอดีต ที่ไม่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน

ในอดีตที่วิทยาการทางสุขภาพยังไม่ก้าวหน้า ทุกคนที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพมักจะมีวิธีการตรวจโรคหรือหาอาการเจ็บป่วยด้วยวิธีทางความเชื่อตามมวลชนหรือท้องถิ่นของตน ตลอดจนการรักษาโรคก็จะมีขึ้นโดยอาศัยรากฐานทางความเชื่อ ซึ่งการรักษาโดยอาศัยความเชื่อนี้จะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือการรักษาโดยภายนอกและการรักษาด้วยการกินอาหารhttps://pixabay.com/th/photos/%E0%B8%84%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-742766/

ภาพจากpixabay.com

การกินอาหารเพื่อรักษาโรคนี้ มาจากความเชื่อที่ว่าสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนเป็นยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคได้ทั้งสิ้น เพียงแต่หมอยาหรือผู้ใช้ยารู้จักใช้ให้ถูกประเภทรู้จักจับคู่ให้ถูกคู่สมุนไพร จากความเชื่อนี้จึงทำให้เกิดเมนูอาหารฉบับพิสดารขึ้นในแต่ละกลุ่มชนซึ่งในปัจจุบันไม่ค่อยได้รับการยอมรับมากนัก บทความนี้จึงจะนำเสนออาหารกับความเชื่อที่ไม่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันซึ่งมีหลากหลายเมนูดังนี้https://unsplash.com/photos/3gnf1rhy2fE

Advertisement

Advertisement

ภาพจากunplash.com

1. เนื้องูเหลือมหมกไข่

เมนูนี้พบได้ทั่วไปในหมู่ชนที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาแถวภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยมีความเชื่อว่าเมนูเนื้องูเหลือมหมกไข่นี้ จะทำให้เด็กทารกหรือเด็กอ่อนกินแล้วมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเลี้ยงง่ายกินแล้วก็นอน มีร่างกายที่ตัวโตสูงใหญ่มีพระกำลังเหมือนกับงูเหลือม ทั้งยังเชื่อว่ามีเมนูนี้ใช้รักษาโรคซางหรือตาลขโมยในเด็กเล็กได้เป็นอย่างดี

ในปัจจุบันงูเหลือมเป็นสัตว์ป่าเป็นสัตว์สงวนหรือไม่สามารถนำมาชำระหรือประกอบอาหารได้ อีกทั้งไม่มีงานวิจัยฉบับใด กล่าวถึงประโยชน์ของเนื้องูเหลือม ว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคดังกล่าว ความนิยมในเมนูนี้จึงหมดสิ้นไปhttps://unsplash.com/photos/Aavt44GwOlU

ภาพจากunplash.com

2. ดีหมีควายดองเหล้า

เมนูนี้เป็นเมนูที่นิยมในหมู่ชาวจีน เพราะเชื่อว่าดีหมีทำให้มีกำลังวังชารักษาโรคหัวใจ รักษาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และยังช่วยป้องกันวัณโรค การปรุงเมนูนี้ทำได้ด้วยการนำดีหมีสดหรือดีหมีแห้งไปดองในเหล้าดีกรีสูง ทิ้งไว้ประมาณ 30-45 วันแล้วค่อยรับประทาน

Advertisement

Advertisement

แม้ในปัจจุบันหมีควายจะเป็นสัตว์ป่าสงวน แต่ก็ยังมีบุคคลบางกลุ่มที่พยายามล่าเพื่อนำดีหมีไปขาย แต่ตลาดและผู้นิยมในการบริโภคดีหมีดองเหล้านี้มีน้อยลง เนื่องจากการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรทางธรรมชาติ และความรู้ความเข้าใจว่าดีหมีมิใช่ยาหรือสิ่งบำรุงกำลังอื่นใด เนื่องจากไม่มีงานวิจัยชิ้นใดรองรับ https://pixabay.com/th/photos/%E0%B8%87%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B9%8C-%E0%B8%87%E0%B8%B9-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C-193966/ภาพจากpixabay.com

3. ดีงูเห่า

งูเห่ามีนั้นพิษร้ายแรง หาได้ทั่วไปในเขตร้อนชื้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอดีตผู้คนมีความเชื่อว่างูเห่าเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ เชื่อกันว่าอำนาจของงูเห่าอยู่ที่ถุงน้ำดีของมัน จึงมีบุคคลบางกลุ่มที่นิยมกินน้ำดีของงูเห่าหรือกินดีงูเห่า

ซึ่งในการรับประทานนี้สามารถทานสดและนำไปดองเหล้าได้เช่นเดียวกับดีหมี เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นยารักษาโรคประเภทวัณโรค โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง แต่ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาการในปัจจุบันพบว่าดีของงูเห่าไม่ได้มีสรรพคุณทางยาได้เลย ทำให้ความนิยมในการรับประทานดีงูเห่าน้อยลง จนเกือบสูญหายไปในบริบทสังคมไทย

Advertisement

Advertisement


คำกล่าวที่ว่า "กินเพื่อเป็นยา" นั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ยาที่ว่านี้อาจเป็นยารักษาโรคหรือยาพิษก็เป็นได้ เพราะหากกินของที่มีประโยชน์ ก็จะเป็นยาที่ดีต่อสุขภาพ แต่หากกินของเสียหรือของที่ไม่มีคุณค่าต่อร่างกายก็จะเป็นยาพิษในที่สุด ดังนั้นหากจะกินสิ่งใดควรคำนึงถึงตรรกะและเหตุผล ว่าสิ่งที่จะกินนั้นมีคุณค่าจริงหรือไม่หรือเป็นเพียงแค่ค่านิยมในความหายากของอาหารเท่านั้น

ภาพปกจากunplash.com

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์