ไลฟ์แฮ็ก
เคล็ดลับเป็นหนี้ให้มีความสุข

เป็นหนี้อย่างไรให้มีความสุข
เมื่อพูดถึงคำว่า “หนี้” ไม่ว่าเราจะเคยเป็น กำลังเป็น หรือกำลังจะเป็น เราจะมีความรู้สึกต่อคำๆนี้เพียง 2 อย่างเท่านั้น คือ หนี้ทำให้ฉันรวยขึ้น หรือ หนี้ทำให้ฉันจนลง
หากเราอยู่ในกลุ่มแรก ก็ยินดีด้วย แต่ถ้าเราอยู่ในกลุ่มหลัง เรามาถูกทางแล้ว ผู้เขียนรับรองว่าเมื่อเราอ่านจบ เราจะรู้วิธีที่เป็นหนี้แล้วทำให้เรามีความสุขขึ้น ลดความกังวล และหากเราลงมือทำเราจะมีความสุขขึ้นแน่นอน
“ความมั่งคั่ง” เป็นสิ่งที่ใครๆก็ต้องการ แล้วความมั่งคั่งคืออะไร?
ในหลักการวางแผนการเงินส่วนบุคคล “ความมั่งคั่ง”คือส่วนของเรา ในขณะที่”หนี้สิน”คือส่วนของคนอื่น ดังนั้นเมื่อเรามีทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่จับต้องได้เช่น บ้าน รถ เงิน ทองคำ หรือทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้เช่นสิทธิในการเป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ลิขสิทธิ์ สิทธิการเช่า เราสามารถเขียนให้เข้าใจง่ายๆได้ว่า
Advertisement
Advertisement
ความมั่งคั่ง = ทรัพย์สิน – หนี้สิน

Advertisement
Advertisement
ดังนั้นถ้าส่วนของคนอื่น(หนี้สิน)มากกว่าส่วนของเราก็แปลว่าความมั่งคั่งติดลบ และถ้าหากเราปล่อยไปเรื่อยๆ เรากำลังเข้าสู่ภาวะไม่สามารถชำระหนี้ได้ กลายเป็นภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว และนำไปสู่ภาวการณ์เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งเราจะไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆได้เลย หากเรามีเงินเดือนๆก็จะถูกอายัด หากตกงานเราก็จะสมัครงานใหม่ไม่ได้ เมื่อนั้นเราจะหาความสุขไม่ได้เลย ดังนั้นเราต้องรู้ตัวว่าเราอยู่ตรงไหน
นั่นคือเราต้องรู้ว่าสุขภาพการเงินเราเป็นอย่างไร?
สุขภาพการเงินคนปกติไม่ควรมีหนี้สินเกินครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมด เช่นมีทรัพย์สินตีมูลค่ารวมทุกรายการแล้วคือ 1ล้านบาท เราไม่ควรมีหนี้สินเกิน 5 แสนบาท แต่หากเรามีทรัพย์สินตีมูลค่ารวมทุกรายการแล้วคือ 5 แสนบาท ในขณะที่เรามีหนี้สิน 1 ล้านบาท นั่นคือความมั่งคั่งเราติดลบ 5 แสนบาท เราต้องเยียวยารักษาตัวเองโดยด่วน
Advertisement
Advertisement
แล้วจะรักษาตัวเองอย่างไร?
ก่อนอื่นเราต้องแยกแยะหนี้สินทั้งหมดออกมาแล้วเรียงลำดับดอกเบี้ยเงินกู้ของเรา เช่น
บัตรเงินสด 50,000 บาท ดอกเบี้ย 28%
บัตรเครดิต 30,000 บาท ดอกเบี้ย 25%
สหกรณ์ออมทรัพย์ 500,000 บาท ดอกเบี้ย 8%
บ้าน 2,000,000 บาท ดอกเบี้ย 5%
รถยนต์ 500,000 ดอกเบี้ย 2% (ผ่อนแบบไฟแนนซ์)
จากนั้นเราต้องตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะปลดหนี้โดยการ “แกะรอย” ว่าเงินของเราไปไหนโดยจดทุกรายการที่เราใช้ในแต่ละวัน เราอาจพบว่าเงินเราหายไปกับ “ลาเต้แฟคเตอร์” เช่น ซื้อกาแฟสดดื่มทุกวัน วันละ 50 บาท เดือนหนึ่งทำงาน 20 วัน รวมเป็นเงิน 1,000 บาท
“ลาเต้แฟคเตอร์” เป็นภาษาในทางการเงินส่วนบุคคลหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ดูเหมือนเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวัน (ผู้ใช้ศัพท์นี้คนแรกคือ มร.เดวิด บาร์ค เจ้าของหนังสือขายดี Automatic Millionare แปลไทยในชื่อเศรษฐีอัตโนมัติ)
“ลาเต้แฟคเตอร์” ของแต่ละคนอาจเป็น
นิตยสารที่ซื้อทุกสัปดาห์ เล่มละ 100 บาท รวมเป็นเงินเดือนละ 400 บาท
ค่าที่จอดรถวันละ 100 บาท เดือนละ 20 วันรวมเป็นเงินเดือนละ 2,000 บาท
ค่าอินเตอร์เน็ตเดือนละ 1,000 บาท
ค่าดูภาพยนต์ทั้งครอบครัว (2 คน) ครั้งละ 500 บาท เดือนละ 2 ครั้ง รวมเป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท
ค่าเบียร์วันละ 2 กระป๋อง วันละ 70 บาท เดือนละ 30 วัน รวมเป็นเงินเดือนละ 2,100 บาท
ฯลฯ
หากตัวอย่างข้างต้นตั้งแต่กาแฟจนถึงเบียร์เป็นของคนๆเดียวหรือครอบครัวเดียว (สามีภรรยารวมกัน) นั่นหมายความว่าครอบครัวนี้ “เงิน” โบยบินจากกระเป๋าละลายไปถึงเดือนละ 7,500 บาท
อ่านถึงตรงนี้เราอ่านร้องว่า..โหว นี่จะตัดรอนความสุขของชีวิตหรือ
คำตอบคือ “ไม่” เราหาสิ่งทดแทนได้ แต่เราต้องมีแรงบันดาลใจมากพอ
“แรงบันดาลใจที่ชัดเจนคือการที่เราเห็นพลังของดอกเบี้ยทบต้นจนเราเสียดายเงิน”
ดูจากภาพตารางสินค้าเล็กๆน้อยๆที่ประหยัดได้ต่อสัปดาห์
ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยว่า..เพียงเรางดอาหารมื้อเย็น 2คนสัปดาห์ละ 1,250 บาท นำไปลงทุนทุกสัปดาห์ได้ผลตอบแทน 8%ต่อปี พลังของดอกเบี้ยทบต้นจะทำให้เงินงอกเงยขึ้นมาเป็น 8,140,000 เมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี
พลังดอกเบี้ยทบต้นในทางเงินโตให้ผลมีพลังอย่างไร พลังดอกเบี้ยเงินกู้ทบต้นก็ให้ผลรุนแรงเท่านั้น
เช่นหนี้บัตรเครดิต ดอกเบี้ยเงินกู้ 25%ต่อปี ด้วยจำนวนเงินต้น 50,000 บาท จะกลายเป็นหนี้จำนวน 100,000 บาทภายในเวลา 3 ปี (สมมติว่าไม่ได้ชำระเลย)
พลังดอกเบี้ยทบต้นไม่ว่าเงินลงทุนหรือเงินกู้คำนวณง่ายๆด้วย กฎ 72
จำนวนปีที่เงินโตเป็น 2 เท่า = 72 หารด้วยอัตราดอกเบี้ย

เช่น 72/25 = 2.88 แปลว่าเงินจะโตจาก 50,000 เป็น 100,000 ในเวลา 2.88 ปี
เงินลงทุนก็เช่นเดียวกัน หากหาผลตอบแทนได้ 10% เงินก็จะโตจาก 100,000 เป็น 200,000 ภายในเวลา 7.2 ปี เป็นต้น
เห็นอยากนี้แล้ว ก็ต้องฮึดเปลี่ยนพฤติกรรม ลด ละ เลิก ลาเต้แฟกเตอร์กัน เช่น
ซื้อกาแฟชงแบบโกลด์ชงผสมนมสดที่อร่อยได้ไม่แพ้กาแฟสด
ยืมหนังสือห้องสมุดอ่านแทนการซื้อ หรือจำกัดงบประมาณในการซื้อโดยซื้อเฉพาะเล่มที่ชอบและจะอ่านจริงๆไม่ใช่ซื้อไปเก็บ แต่ถ้าอ่านทดแทนในมือถือหรือ tablet ได้ เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่จะมีให้ดาวโหลดฟรี
อินเตอร์เน็ตหากไปอยู่ในบริเวณ wifi free ก็ควรใช้แทนอินเตอร์เน็ตส่วนตัว
ปรับการชมภาพยนต์ใหม่จากเข้าโรงฉายปุ๊บไปชมปั๊บเป็นรอเวลาไปอีก 1-2 สัปดาห์ ราคาค่าเข้าชมจะถูกลงจากราคาเต็มกว่าครึ่ง
เบียร์ ก็ค่อยๆลด จาก 2 กระป๋องเป็น 1 กระป๋อง หรือตัดใจเลิกได้ก็จะเยี่ยมมาก
หากเรามีข้อแก้ตัวว่า “ทำไม่ได้” ขอให้เรานึกถึงภาพวันที่เราลำบาก แก่แล้วจน ไม่มีใครเลี้ยง ตกงาน เราก็จะมีความมานะ ฮึดที่จะเอาชนะ “หนี้สิน” ได้
ต่อจากนั้นเราหาแหล่งเงินกู้ที่ดอกเบี้ยถูกกว่าหรือรีไฟแนนซ์ เช่นหากเรามีประกันชีวิต กรมธรรม์ของเราอาจมีมูลค่าที่กู้ได้โดยเสียดอกเบี้ยเพียง 8%ต่อปี เราก็นำมาปลดหนี้บัตรเครดิตได้หรือหาแหล่งเงินกู้จากคนกันเอง เช่นเพื่อน หรือ ญาติพี่น้อง แต่ข้อนี้ก็ขึ้นกับ”บุญเก่า”ของเราด้วย บุญเก่าหมายถึงความประพฤติของเราในอดีตว่าน่าเชื่อถือแคไหนนั่นเอง
นอกจากนี้การรีไฟแนนซ์คือการหาแหล่งเงินกู้ที่ดอกเบี้ยถูกกว่าดอกเบี้ยปัจจุบันเราสามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซด์ธนาคารแห่งประเทศไทย www.bot.or.th การที่ดอกเบี้ยเงินกู้ต่างกันเพียง 2% ก็คุ้มค่าที่เราจะพิจารณาแล้ว
เรื่องที่ต้องพิจารณาเช่น หนี้สินของเราหากจะรีไฟแนนซ์ต้องเสียค่าธรรมเนียมไถ่ถอนหรือไม่ หากต้องยอมเสียจะคุ้มกว่าหรือไม่ หรือหากต้องต้องไปกู้แหล่งเงินกู้ใหม่ต้องเสียค่าประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่จะรีไฟแนนซ์หรือไม่ เป็นต้น
เมื่อเราลดลาเต้แฟคเตอร์ได้ เราจะได้เงินคืนมาโดยนำไปผ่อนเพิ่มกับหนี้สินเดิมของเรา หากเรารีไฟแนนซ์ หนี้สินของเราจะลดลงอย่างรวดเร็ว
แต่..สิ่งสำคัญที่สุดคือ
“อย่าก่อหนี้ใหม่ งดใช้บัตรเครดิตเด็ดขาด “
ถ้าห้ามใจไม่ไหวให้เก็บบัตรไว้ที่บ้านอย่าพกติดตัวไปนอกบ้าน
ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่ายาก..ขอบอกเลยว่าทุกข้อข้างต้นผู้เขียนทำเองมาหมดแล้ว แม้ต้องใช้พลังใจอย่างมากแต่ถ้าเราไม่อยากลำบากตอนแก่เราต้องแข็งใจทำให้ได้
ความไม่เป็นหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ
ในบรรดาหนี้ทั้งหมด หนี้บัตรเครดิตและหนี้บัตรเงินสดคือหนี้ที่ดอกเบี้ยมากที่สุด หากปลดหนี้เหล่านี้ได้ ชีวิตเราจะดีขึ้นตามลำดับ และเริ่มมีเงินมาลงทุนและสร้างความมั่งคั่งให้แก่เราได้ในที่สุด..และความสุขก็จะคืนกลับมาสู่ชีวิตเราอีกครั้งและตลอดไป
ความคิดเห็น






