อื่นๆ
เงินไม่ใช่ “ค่าตอบแทน” ต่อแรงงานที่เสียไป

ตราบใดที่คุณยังคิดว่าเงินคือค่าตอบแทนต่อแรงงานที่เสียไปในการทำงาน เป็นค่าตอบแทนจากการทำประโยชน์ให้ผู้อื่นหรือเป็นค่าตอบแทนจากการทำให้คนอื่นมีความสุข คุณก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนสภาพร่างกายและจิตใจทรุดโทรม เพราะเชื่อสนิทใจว่าต้องทำงานหนักถึงจะได้เงินมา
แต่ถ้าเราคิดว่าเงินไม่ใช่ “ค่าตอบแทน” และยอมรับว่าตัวเองมีคุณค่าแม้จะไม่ทำอะไร ไม่ให้อะไรกับใครหรือไม่ยอมแลกเปลี่ยนอะไร “ความเชื่อ” เรื่องเงินของเราก็จะเปลี่ยนไป ส่งผลให้กระแสเงินเปลี่ยนไปด้วย
ขอบคุณภาพจาก freepik.com
ก่อนที่คุณจะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานและพยายามทำให้คนอื่นมีความสุข เราอยากให้คุณคิด (ตระหนัก) ว่าถึงคุณไม่ทำอะไร คุณก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินหรือ “ความมั่งคั่ง” ในชีวิต
เมื่อคิดแบบนั้นได้เมื่อไหร่ เงินจะเริ่มหลั่งไหลเข้ามาและไม่ว่าคุณจะใช้หรือให้เงินคนอื่นไปมากแค่ไหน คุณก็ไม่กลัวเงินจะหมด อีกทั้งยิ่งใช้เงินก็ยิ่งมีความมั่งคั่งมากขึ้น เพราะคุณรู้ว่าตัวเองมีคุณค่า เป็นที่รักของทุกคน และได้รับการยอมรับจากคนอื่น
Advertisement
Advertisement
คุณต้องยกระดับ “ค่าตัว” ของตัวเองให้สูงขึ้น ไม่ใช่ยกระดับ “ค่าแรง” ชีวิตคุณจึงจะมีความมั่งคั่งที่ยั่งยืน
ถ้าหลาย ๆ คนยังคิดว่า “นี่เป็นไปไม่ได้” ละก็ นั่นเป็นเพราะคุณยังเชื่อว่า “ตัวเองไม่ได้มีคุณค่าขนาดนั้น”
ทำไมคุณถึงเชื่อแบบนั้นล่ะ
คุณเชื่อแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
ใครมาพูดอะไรที่ทำให้คุณเชื่อแบบนั้น
ที่จริงค่านิยมของสังคมและการอบรมเลี้ยงดูก็มีส่วนอย่างมากในการทำให้เราไม่เชื่อว่าตัวเองมีคุณค่า คุณเองก็คงเคยเห็นหรือมีประสบการณ์ตรงมาบ้าง เช่นผู้ใหญ่มักชอบพูดกับเด็กว่า “ถ้าไม่ทำตัวให้เป็นเด็กดีจะไม่ได้เงินแต๊ะเอียนะ” คำพูดนี้เป็นการปลูกฝังให้เด็กคิดว่าต้องเป็นเด็กดีเท่านั้นถึงจะมีคุณค่า และทันทีที่ไม่ทำตัวเป็นเด็กดีก็จะไม่มีค่าอะไรเลย
ขอบคุณภาพจาก freepik.com
Advertisement
Advertisement
คุณลองเชื่อว่า “ถึงจะไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็มีสิทธิที่จะได้รับความมั่งคั่ง” เหมือนกับการที่คุณได้รับเงินแต๊ะเอียในวันขึ้นปีใหม่ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลยยังไงล่ะคะ
ถึงแม้จะฟังดูเป็นไปไม่ได้ แต่เราอยากให้คุณ “ลองเชื่อ” และบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า “เราสมควรจะได้รับความมั่งคั่ง” เพื่อปรับมุมมองของตัวเองดูค่ะ
สาเหตุที่คนรวยประเมิน “ค่าตัว” ของตัวเองสูง
เงินไม่ใช่ “ค่าตอบแทน” ต่อแรงงานที่เสียไป ไม่ใช่เครื่องชี้วัดความพึงพอใจของลูกค้า คุณค่าของสินค้า หรือ คุณภาพของการบริการ รวมถึงไม่ใช่ค่าตอบแทนสำหรับความพยายามในการทำงาน หรือค่าตอบแทนจากการให้บริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี
เรามักได้ยินคนพูดกันว่า “เงินคือค่าตอบแทนที่ได้จากการทำงาน” และหลายคนที่พูดแบบนั้นก็มีเงินมากมายจากการมุ่งมั่นตั้งใจทำงานจริง
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คนที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงานแต่กลับไม่มีเงินนั้นก็มีอยู่เยอะกว่ามาก คุณเคยสงสัยไหมคะว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น คำตอบก็คือ เพราะจำนวนเงินที่คุณจะได้รับขึ้นอยู่กับว่าคุณคิดว่า “ตัวเองมีคุณค่าพอที่จะได้รับเงิน” หรือไม่นั่นเอง
Advertisement
Advertisement
พูดง่าย ๆ ว่ายิ่งคุณประเมินว่าตัวเองมีค่าตัวสูงมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งมีความมั่งคั่งมากขึ้นเท่านั้นค่ะ
คนที่เข้าใจหลักการนี้จะได้รับความมั่งคั่งอย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกเหนื่อยยากเลย
แต่หลายคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจและยึดมั่นกับความเชื่อเดิมว่าเงินคือค่าตอบแทน พวกเขามองว่าถ้าไม่ทำงานแล้วจะหาเงินมาได้ยังไง
ขอบคุณภาพจาก freepik.com
เราอยากให้คุณเลิกเชื่อแบบนั้นค่ะ ดูอย่างพวกภรรยาคนรวยสิคะ ภรรยาของคนรวยย่อมมีเงินมากมาย แล้วคุณคิดว่าเธอทำงานมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว หรือตั้งหน้าตั้งตาทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำเพื่อให้ได้เงินมาหรือเปล่าคะ
ถ้าความคิดที่ว่าเงินคือ “ค่าตอบเทน” ต่อแรงงานที่เสียไปหรือประโยชน์ที่เราได้ทำลงไปเป็นความจริง ภรรยาของคนรวยที่เป็นแม่บ้านก็น่าจะต้องมีฐานะยากจนจริงไหมคะ เพราะเธอไม่ได้ออกไปทำงานนอกบ้าน รวมถึงไม่ได้ให้บริการคนอื่น
หรือสร้างความสุขแก่คนจำนวนมาก (แม้แต่งานบ้านก็อาจให้คนรับใช้ทำแทนด้วยซ้ำ)
แต่เธอก็ยังร่ำรวยได้อยู่ดี เพราะสามีให้เงินเธอเป็นประจำ คุณคิดว่าถ้าเธอมองว่าตัวเองไม่มีค่าพอจะได้รับเงินเลยปฏิเสธหรือขอหย่าขาดจากสามี เธอจะยังรวยอยู่ไหม?
อาจจะพูดได้ว่า เธอประเมิน “ค่าตัว” ของตัวเองไว้สูงจึงเป็นเศรษฐีได้นั่นเอง
สรุปคือ คุณต้องฝึกปรับมุมองให้คิดว่าการ “ได้รับ” จากคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นข้าวของ เงินทอง ความช่วยเหลือหรือน้ำใจ ไม่ใช่เรื่องผิด นี่คือก้าวแรกที่จะนำไปสู่ชีวิตที่มีเงินใช้อย่างไม่ขัดสนค่ะ
หากคุณอยากมีเงินใช้ไม่ขาดมือละก็ แค่ยอมรับว่าตัวเองมีคุณค่าและประเมิน “ค่าตัว” ของตัวเองให้สูงขึ้นก็พอ
วิธีนี้ง่ายและเริ่มทำได้ตั้งแต่วันนี้เลย ให้คุณคิดว่า “ถึงตัวเราจะไม่ทำอะไรเลยก็มีคุณค่าฉะนั้นไม่ต้องพยายามทำงานหนักเพื่อเพิ่มค่าแรงก็ได้” เพียงเท่านี้ค่าตัวของคุณก็จะเพิ่มขึ้นแล้ว
แม้จะคิดแบบนี้ในทันทีไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ขอให้บอกตัวเองไปเรื่อย ๆ นี่ถือเป็นการฝึกจิตอย่างหนึ่งค่ะ
ขอบคุณภาพจาก freepik.com
แค่คุณบอกตัวเองไปเรื่อย ๆ ว่า “ฉันมีคุณค่า ฉันสมควรได้รับความมั่งคั่งโดยไม่ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาด ความมั่งคั่งก็จะเข้ามาหาคุณที่เหลือก็แค่ตรวจสอบดูว่าคุณได้รับรายได้มากน้อยแค่ไหน
หากรายได้ยังไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่าคุณยังประเมินคุณค่าของตัวเองต่ำอยู่ค่ะ
สรุป
การมีเงินช่วยให้คนเรามีอิสระมากขึ้น จึงได้รับความสุขความสบายใจการได้ทำอะไรตามใจตัวเอง
ถึงตอนนี้คุณจะไม่มีเงิน แต่ถ้าคุณคิดว่า “มี” หรือ “กำลังจะมี” เงินจะไหลมาเทมาเองค่ะ
รายได้ของเราขึ้นอยู่กับว่าเรามองตัวเองมีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน
คุณต้องเชื่อว่าคนเราทุกคน “มี” ความมั่งคั่งอยู่แล้ว
ถ้าคุณประเมินคุณค่าของตัวเองต่ำไป เงินจะไม่เข้ามา แต่เมื่อคุณประเมินคุณค่าของตัวเองสูง เงินก็จะเข้ามา
เงินไม่ใช่ค่าตอบแทนต่อแรงงานที่เสียไป ไม่ใช่ค่าตอบแทนจากการมอบอะไรสักอย่างให้คนอื่น
“ค่าตัว” คือสิ่งที่ใช่บ่งบอกว่าตัวเรามีคุณค่าแม้จะไม่ได้ทำอะไรเลย
คนรวยมักจะประเมิน “ค่าตัว” ของตัวเองไว้สูง และคิดว่าตัวเองมีสิทธิที่จะได้รับความมั่งคั่งค่ะ
ขอบคุณภาพปกจาก freepik.com
ความคิดเห็น






