อื่นๆ
เมื่อลมพัดหวน

เรื่องและภาพถ่ายโดยผู้เขียน
ขณะก้าวข้ามธรณีประตูพิมานไชยศรีภายในพระบรมหาราชวัง เพื่อเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นกลาง ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือแสงแดดจ้าในตอนบ่ายส่องกระทบกับองค์พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทงามระยิบระยับ หลายครั้งที่ผมได้มีโอกาสเข้ามาภายในพระบรมหาราชวัง ความรู้สึกหนึ่งที่มักจะผุดขึ้นมาเป็นอันดับแรกคือ ความสงบและปริ่มเปรมใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกปลอดภัยเพราะเหมือนได้อยู่ภายใต้ร่มแห่งพระบรมโพธิสมภาร ด้วยทุกซอกมุมภายในพระบรมหาราชวังได้บอกเล่าเรื่องราวในอดีตไว้มากมาย บรรพบุรุษของเราได้รังสรรค์สิ่งต่างๆ ด้วยเลือดเนื้อไว้ให้เราได้มีที่ยืนอยู่บนแผนที่โลกอย่างสง่างามในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนให้เราไม่หลงลืมรากเหง้า และไม่ละเลยการกตัญญูรู้คุณต่อแผ่นดิน ทว่าคงจะดีไม่น้อยหากคนในยุคสมัยปัจจุบันจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยไม่สักแต่เพียงว่าเป็นแค่เรื่องราวที่ผ่านเลย
Advertisement
Advertisement
การย้อนเวลาเพื่อกลับไปทบทวนประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ ทำให้พบกับบทพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งว่า “ทหารและกรมวังมหาดเล็ก ซึ่งจะหาคนง่าย ก็หนาแน่นไปด้วยคนผุคนรา จะใช้การก็ไม่ได้เต็มที่ ผลักไปทางไหนก็ไม่ใคร่จะพ้น ตกลงเป็นใจความว่า ในเมืองเราเวลานี้ไม่ขัดสนอันใดยิ่งกว่าคน การเจริญอันใด จะเป็นไปไม่ได้เร็ว ก็เพราะเรื่องคนนี้อย่างเดียว” เมื่อได้อ่านจนจบความก็ทำให้ทราบว่าปัญหาเรื่องทรัพยากรมนุษย์นี้มีมาช้านานหลายร้อยปี ด้วยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 พระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีวิสัยทัศน์ยาวไกล ได้เคยพระราชทานแนวทางในการพัฒนาบ้านเมืองในยุคนั้นซึ่งต้องเริ่มที่การพัฒนาคนก่อนเป็นประการแรก กระทั่งกาลเวลาได้ล่วงเลยจวบจนปัจจุบันปัญหาด้านทรัพยากรมนุษย์ของประเทศก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขหรือพัฒนาอย่างแท้จริงในทุกมิติ
Advertisement
Advertisement
หลายทศวรรษที่ผ่านมานี้ บ้านเมืองของเราได้แหวกว่ายผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆ มามากมายดีบ้างร้ายบ้างตามประสาประเทศกำลังพัฒนา จะว่าไปก็เป็นเรื่องน่าขบขันไม่น้อย เพราะหลายครั้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเราเสียสติจนปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้อย่างไรกัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางการเมือง สภาพความเสื่อมถอยทางสังคม วิกฤติความเชื่อความศรัทธาของประชาชน ฯลฯ การปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างซ้ำไปซ้ำมานี้มิใช่เพียงแค่เกิดขึ้นแต่เฉพาะในบริบทของประเทศเท่านั้น หากแต่ในระดับหน่วยงานเองก็เช่นกัน แม้นว่าจะมีการคิดค้นเครื่องมือหรือนวัตกรรมขึ้นมามากมาย คิดค้นทฤษฎีอะไรต่อมิไรจนล้นเกินกว่าจะนำมาใช้ได้ครบถ้วน แต่ทำไมถึงไม่ประสบผลสำเร็จ หรือบางแห่งอาจประสบผลสำเร็จแต่มองไม่เห็นผลลัพธ์
เมื่อพินิจพิเคราะห์ทบทวนถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยสติปัญญาอย่างเป็นกลางแล้ว ทำให้เกิดข้อค้นพบถึงสาเหตุประการหนึ่งว่า การเพียรพยายามอย่างผิดทิศทางทำให้เราหลงลืมที่จะหันกลับมาดูอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อน นั่นคือ ทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างแท้จริง เราได้ลงทุนในปัจจัยต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศ หรือแม้แต่ในหน่วยงานของเราเองเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งเหล่านี้แล้วเราปฏิเสธ หรือให้ความสนใจที่จะลงทุนในด้านทรัพยากรมนุษย์น้อยมาก หลายประเทศที่สามารถพัฒนาตนเองจนกระทั่งกลายเป็นประเทศชั้นนำบนเวทีโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย หรือแม้แต่ประเทศในภูมิภาคเอเชียอย่างญี่ปุ่น กว่าจะลุกขึ้นมาเฉิดฉายบนเวทีโลกได้ต้องทุ่มเทและเพียรพยายามอย่างหนักในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งหลายประเทศเริ่มบ่มเพาะประชากรให้มีคุณภาพตั้งแต่ในวัยเด็ก ด้วยเพราะคุณภาพทรัพยากรมนุษย์คือตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกว่าประเทศ ตลอดจนในหน่วยงานของเราว่าจะก้าวไปในทิศทางไหน ประสบกับความสำเร็จและวัฒนาผาสุกมากน้อยเพียงใด
Advertisement
Advertisement
ที่สิงคโปร์ ประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เพียงแค่ 697 ตารางกิโลเมตร แต่มีขนาดประชากรที่สูงเกือบ 6 ล้านคน จากการที่เคยได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสด้วยความหื่นกระหายไคร่รู้ว่าทำไมประชากรบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ซึ่งอยู่กันอย่างเบียดเสียดหนาแน่น ถึงได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับสังคมโลกในเรื่องคุณภาพไม่เฉพาะในบริบทของประชากรในประเทศเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงศักยภาพของของหน่วยงานและบุคคลากรในหน่วยงานอีกด้วย ซึ่งจากการวิเคราะห์ทำให้พบข้อเท็จจริงในแง่ของการพัฒนาคนอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1. การมีบทลงโทษที่รุนแรงและความเข้มข้นจริงจังในการบังคับใช้กฎหมาย โดยคนต้องยำเกรงและเคารพต่อกฎหมาย คนผิดก็ต้องแก้ที่คน มิใช่แก้ที่กฎหมายหรือยกความผิดให้กฎหมาย หรือฉีกกฎหมายทิ้งโดยพร่ำเพรื่อ ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้สิงคโปร์ เป็นชาติที่มีระเบียบวินัยสูงมาก ส่งผลให้อัตราการเกิดอาชญากรรมน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย การรักษามารยาททางสังคมก็เป็นไปอย่างเคร่งครัดโดยไม่ต้องมีใครมาคอยยืนเฝ้าหรือกำกับ รู้จักการเข้าแถว ข้ามถนนตรงทางข้าม ทิ้งขยะลงถัง ไม่ทำลายทรัพย์สินของส่วนรวม เป็นต้น
2. การมีภาวะผู้นำของผู้บริหารทุกระดับ ตั้งแต่ในระดับหน่วยงานไปจนถึงระดับชาติ โดยผู้นำรู้จุดแข็งจุดอ่อนของประเทศ หรือหน่วยงานของตนเองอย่างแท้จริง ไม่ได้ฟังความหรือทราบข้อมูลเพียงด้านเดียว มีวิสัยทัศน์ รู้จักเป้าหมาย และต้องสามารถสื่อสารให้ทุกคนเห็นด้วยและคล้อยตาม กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่ลังเลหรือหยิบหย่งด้วยเพราะกลัวหรือเกรงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซื่อสัตย์สุจริต มีความยุติธรรม ตลอดจนมีความคิดเชิงระบบ (คือวิธีการคิดเชิงบูรณาการ ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตการคิดของเราที่มีต่อเรื่องนั้นๆ ออกไปอย่างไม่มีขีดจำกัด โดยพิจารณาเรื่องนั้นๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกมุมมอง โดยหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันภายใต้การคิดอย่างมีเหตุมีผล เพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ หรือสิ่งที่ดีกว่า) และท้ายที่สุดคือการรู้จักทำตนแบบอย่างแก่ประชาชนและคนในองค์กร
3. การปลูกฝังและพัฒนาคนในทุกระดับตั้งแต่เด็ก สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนคือผู้คนที่สิงคโปร์ชอบอ่านหนังสือที่เป็นประโยชน์มากกว่าสื่อบันเทิงและการหมกมุ่นก้มหน้าอยู่กับสื่อ social media ทั้งหลาย ที่คนในหลายประเทศมักใช้ไปในทางที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เมื่อคนรับสื่อที่เป็นประโยชน์แน่นอนว่าส่งผลต่อองค์ความรู้ ระบบการคิดวิเคราะห์และเจตคติ แน่นอนว่าผลดีนั้นเกิดขึ้นต่อสังคมโดยรวม นอกจากนี้รัฐบาลได้สร้างบรรยากาศทางสังคมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ชาวสิงคโปร์มีความมุ่งมั่นในการใฝ่ศึกษาเพื่อพัฒนาตนเอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมใจกันจัดหลักสูตรระยะสั้นแทบทุกสุดสัปดาห์เพื่อพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ หรือการที่รัฐบาลได้จัดทำระบบสวัสดิการคนจน ซึ่งกลุ่มคนที่ถูกจัดให้อยู่ในประเภทของกลุ่มคนจนภายใต้เส้นกรอบของรายได้ คนกลุ่มนี้จะได้รับการช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟ รวมทั้งค่าครองชีพ แต่จะเสียสิทธิในการกูยืมเงินจากธนาคาร ไม่สามารถทำบัตรเครดิต และทุกๆ ๖ เดือน จะต้องไปชี้แจงต่อรัฐบาลว่ายังจนหรือไม่ หากยังจนอยู่ก็จะได้รับการช่วยเหลือเช่นนี้ต่อไป น่าแปลกตรงที่ว่าคนกลุ่มนี้แทนที่จะยินดีกับสิ่งที่ได้รับแต่กลับพยายามถีบตัวอย่างหนักเพื่อให้หลุดพ้นจากเส้นความยากจนโดยเร็ว ซึ่งไม่เหมือนคนในบางประเทศที่มักรอแต่ความช่วยเหลือ
จะเห็นได้ว่าการพัฒนาคนในสิงคโปร์นั้นมิใช่เป็นไปอย่างฉาบฉวยหรือสร้างภาพหลอกตาเป็นคราวๆ ไป เหมือนที่หลายประเทศทำกัน แต่ที่นี่ใช้คำว่า “ปลูกฝัง” นั่นคือการหยั่งรากลึกให้เข้าไปอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกกันเลยทีเดียว ทั้งนี้การที่ว่า “ทำอย่างไร ?” ไม่ใช่คำถาม แต่คำถามคือ “ทำหรือยัง ?”
บางครั้งแง่มุมทางประวัติศาสตร์ก็พาเราไปไกลกว่าที่คิดไว้มาก เพราะการหวนคะนึงถึงอดีตทำให้เรามองเห็นอนาคตได้ง่ายขึ้น ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องขจัดขัดขวางความก้าวหน้าแต่อย่างใด หากแต่เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะนำพาเราไปสู่อนาคตอย่างมั่งคั่งยั่งยืนเสียด้วยซ้ำ การดำเนินงานต่างๆ ในหน่วยงานของเราเองก็เช่นกันหากได้ลองผ่านกระบวนการคิดทบทวนโดยการวิเคราะห์ จะทำให้เราค้นพบรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ซึ่งกระบวนนี้เป็นเรื่องที่จะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่ควรเป็นเรื่องที่ทำกันแบบลวกๆ หรือทำอย่างเสียมิได้ เพราะผลที่จะเกิดขึ้นหากเราได้ดำเนินงานหรือโครงการนั้นๆ ไปแล้ว อาจจะไม่บรรลุผลลัพธ์ที่วางไว้ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรและเวลาอย่างเปลือยเปล่า สำหรับผมแล้วการที่ได้มีโอกาสหวนย้อนอดีตในครั้งนี้อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เห็นแนวทางที่ควรจะก้าวเดินต่อจากนี้ไปด้วยความมุ่งหวังที่ว่า “ความล้มเหลวซ้ำซาก” ในชีวิตคงได้รับการบั่นทอนให้เบาบางลงไปบ้าง
ความคิดเห็น






