อื่นๆ
เรื่องสั้น "กระจก... เงา"

ภาพหน้าปกโดย Free-Photos จาก Pixabay.com
อีกไม่นานผมคงต้องกลายไปเป็นคนบ้าประเภทโรคจิตหวาดระแวง โดยสาเหตุไม่ได้เกิดจากยาเสพติด หรือจิตใจที่อ่อนไหวจนเกินไป แต่เกิดจากความกลัวที่กำลังกัดกินชีวิตของผมอย่างช้า ๆ
หลาย ๆ คนมีความหวาดกลัวที่ไม่เหมือนกัน อย่างเช่น กลัวความสูง กลัวที่แคบ ๆ กลัวหมู่คนมาก หรือไม่กลัวสัตว์ต่าง ๆ อย่างแมลงสาบ หรือแมงมุม แต่สิ่งที่ผมกลัวหรือหวาดผวากลับเป็นสิ่งไม่มีชีวต ก็คือกระจก โดยเฉพาะ กระจกเงา คุณคงคิดว่าผมพูดอะไรไร้สาระ บ้าบอ งั้นผมขอเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจะดีกว่า
... เธอชื่อว่า "กิ่ง" เธอเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างเล็กและบอบบาง แถมยังขี้แงแสนงอนอ่อนไหวง่าย มักจะใช้ความรู้สึกนำหน้าเหตุผลเสมอ ชอบแต่งหน้าแต่งตัว ความสวยงามคือสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในชีวิตเธอทุ่มเทกับมันมาก ทั้งเครื่องสำอางราคาแพง ยาบำรุงผิว รวมไปถึงการยอมเจ็บตัวทำศัลยกรรมเพื่อความงามที่สมบูรณ์แบบ
Advertisement
Advertisement
เธอภูมิใจในความสวยน่ารักของตัวเองมาก ตอนที่เราคบหากัน ผมสังเกตเห็นเธอว่าทุกครั้งที่เดินผ่านกระจกเงา ไม่ว่าจะเป็นกระจกในร้านขายเสื้อผ้า กระจกใสที่พอมองเห็นเงาได้บ้าง เธอต้องหยุดมองดูตัวเองและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เธอยอมรับกับผมอีกด้วยว่าเธอชอบดูกระจกมาก ตอนอยู่ที่คอนโดฯ ตามลำพัง เธอมักจะนั่งยิ้มกับตัวเองในกระจกเป็นชั่วโมง ผมคิดว่าคงไม่ใช่ผิดปกติอะไร คนเรามีดีอะไรก็ควรภาคภูมิใจในสิ่งนั้น เพราะผมเองก็หลงรักเธอหัวปักหัวปำก็เพราะความสวยน่ารักของเธอนี่เอง

Advertisement
Advertisement
ผมยังจำวันที่ได้เจอเธอครั้งแรก ขณะที่กำลังลองเนกไทอยู่ในร้าน ก็ต้องตกตะลึงเมื่อผมได้เห็นผู้หญิงงดงามราวเจ้าหญิงกำลังยิ้มหวานอยู่ในกระจกเงา ตอนแรกผมนึกว่าเธอยิ้มให้ เลยหันไปพูดจาทักทายสุดท้ายก็เลยได้รู้จักกัน
ในช่วงแรกความรักของเราไปได้สวย เพราะเธอกำลังเรียนอยู่ ส่วนผมทำงานในบริษัทที่มั่นคงการเงินดีและเงินเดือนสูง ผมจึงสามารถช่วยเหลือเธอในด้านการเงิน จ่ายค่าเทอมต่าง ๆ แต่ต้องมาเสียค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในเรื่องความสวยงาม ไม่ว่าจะเครื่องสำอาง ซื้อเสื้อผ้าและการเสริมสวย เธอมีความสุขมากที่มีผมคอยดูแลในส่วนนี้ให้ด้วยความรักและผมเองก็หลงจึงยอมเป็นพ่อบุญทุ่ม โดยหวังจะได้เธอมาเป็นคู่ชีวิตครองรักกันไปตราบนานเท่านาน
Advertisement
Advertisement
แต่เวลาและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้ใจคนเปลี่ยนตามไปด้วย
......................................
หลังเธอเรียนจบ เธอได้เข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งในฝ่ายประชาสัมพันธ์ ในช่วงนี้เองที่เธอได้เจอกับผู้ชายมากหน้าหลายตา ผมแน่ใจว่าคนสวยอย่างเธอย่อมเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม คนที่เข้ามาจีบเธอก็น่าจะมีใครสักคนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมกว่าผู้ชายอย่างผม
เธอเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป เริ่มห่างเหินหลีกหนีหน้า เราสองคนจึงทะเลาะและมีปากเสียงกันมากขึ้น และผมก็จำคืนวันนั้นได้ดี หลังจากที่รู้ว่าเธอแอบไปเที่ยวผับกับชายอื่น ผมพยายามติดต่อเธอทั้งคืน แต่เธอปิดเครื่องหนี ผมจึงตัดสินใจมาดักรออยู่ที่คอนโดฯ และก็จริงอย่างที่ผมคาดไว้ เกือบตีสองที่เธอกลับมาโดยมีผู้ชายขับรถมาส่ง ผมแอบเดินตามเธอขึ้นไปติด ๆ เธอทำหน้าไม่ดีเมื่อเห็นผม
ตอนแรกเธอแก้ตัวว่าเป็นแค่เพื่อนของเพื่อน แต่ผมไม่เชื่อและพยายามคาดคั้นเธอ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนใจไม่ยี่หระอะไรมากนัก ในขณะที่เธอกำลังนั่งมองกระจกด้วยความภาคภูมิใจในความงามของตัวเอง เธอก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายกับผมว่า
"งั้นเราเลิกกันดีกว่า"
ผมเหมือนโดนเหล็กแหลมทิ่มแทงตรงกลางหัวใจ ความเจ็บปวดกลับแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นเมื่อเห็นเธอยังนั่งยิ้มกับกระจกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมยอมรับว่าไม่มีสติหลงเหลืออยู่เลยตอนนั้น ตอนที่จับหน้าเธอโขกเข้ากับกระจกอย่างแรงหลายต่อหลายครั้งจนเธอแน่นิ่ง เลือดไหลโชกเต็มหน้าของเธอพร้อมกับเศษกระจกที่ปักเต็มใบหน้าของเธอด้วย ผมแทบช็อกและได้สติกลับคืนมาเมื่อรู้ว่าเธอไม่มีลมหายใจอีกแล้ว ผมเริ่มหาทางเอาตัวรอด จัดฉากว่าเป็นคนร้ายที่เข้ามาขโมยทรัพย์สินและฆ่าเธอเพราะขัดขืน หลังจากนั้นผมจึงค่อย ๆ หลบออกไปจากห้องของเธอ...
ภาพโดย CeeMon จาก Pixabay.com
ผมถูกตำรวจเรียกตัวไปสอบถาม แต่ก็ไม่ได้แสดงพิรุธอะไรออกมา แต่ถึงแม้ผมจะไม่เจอปัญหาในด้านกฎหมาย แต่ผมก็เจอกับปัญหาที่น่ากลัวกว่านั้น
หลังเสร็จสิ้นงานศพของเธอ ผมพยายามใช้ชีวิตให้เหมือนปกติทุกอย่าง ผมตื่นตั้งแต่ตีห้า หลังจากถ่ายหนักและเบาเสร็จ ก็เดินมาหน้สกระจกเพื่อล้างหน้าและแปรงฟัน ผมก็ต้องหวีดร้องออกมาสุดเสียงเมื่อเห็นบางอย่างสะท้อนอยู่ในกระจก
ผู้หญิงผมยาว ดวงตาแดงก่ำจ้องมองผมด้วยความโกรธแค้นมาก ใบหน้าซีดเพราะเลือดไหลออกมาจากบาดแผลบนใบหน้ามากมาย ผู้หญิงคนนี้เป็นใครไม่ได้นอกจากิ่ง หลังได้สติ ผมรีบวิ่งหนีออกมาจากห้องน้ำ แต่ต้องขวัญผวาอีกครั้งเมื่อมองไปที่กระจกบนผนังห้องและก็เห็นร่างของเธออีกครั้ง ผมพยายามรวบรวมความกล้าหันหลังไปดู แต่พบเพียงความว่างเปล่า แสดงว่าจะเห็นเธอได้แค่ในกระจกเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะเธอผูกพันกับกระจกหรือไม่ก็ตายเพราะกระจก
หลังจากนั้นมาชีวิตผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ผมเกือบประสบอุบัติเหตุเพราะเหลือบตาดูกระจกหลังแต่ต้องตกใจเมื่อเห็นผีกิ่งจนหักพวงมาลัย เมื่อเจอหน้าเละ ๆ ของเธอ และยังมีตอนที่ผมกำลังจีบผู้หญิงคนหนึ่งแต่ผีกิ่งดันโผล่ออกมาให้เห็นในกระจกผนังร้านอาหารและผู้หญิงที่ผมกำลังจีบเธอมองผมเหมือนตัวประหลาด เมื่อผมพ่นคำด่าออกมาหลังจากเห็นผีกิ่งโดยไม่รู้ตัว ผมเลยกลายเป็นคนกลัวกระจกเงา กระจกแทบทุกบานในห้องผมทุบทำลายและโยนทิ้งหมด ผมกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาเพื่อน ๆ และคนอื่น เนื่องจากผมไม่ได้โกนหนวดเครา หน้าตามอมแมม ผมยุ่งเหยิง จนถูกเจ้านายเรียกเข้าไปคุยด้วย แฟนสาวเริ่มตีตัวออกห่างจากผมไป ผมไม่สามารถเที่ยวได้สนุกสนานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะทุกที่เต็มไปด้วยกระจก กระจกที่มีเธอคอยตามหลอกหลอนผมอยู่ ผมต้องเก็บตัวอยู่ในห้องเพียงลำพัง จนกระทั่งความอดทนผมถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง อีกไม่นานผมคงต้องตกงานและอยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือไม่ก็กลายเป็นคนบ้าแน่
ผมตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา "อมร" เพื่อนเก่าสมัยเรียนที่ต่างจังหวัด พ่อของเพื่อนคนนี้เป็นทั้งสัปเหร่อและหมอผี ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังโดยไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว
"ที่แกเล่ามาเป็นเรื่องจริงเหรอวะ" อมรถามย้ำ
"จริงสิ ฉันรู้ว่าฉันใช้อารมณ์มากไปหน่อย แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เธอตาย"
"เธอคงอาฆาตแกมาก จึงไม่ยอมไปผุดไปเกิด"
"ใช่ เธอตายไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอกำลังทำให้ฉันตายทั้งเป็น"
"แล้วแกจะเอายังไง"
"ทำยังไงก็ได้ ที่ทำให้เธอออกไปจากชีวิตฉันสักที ถ้าจำเป็นต้องฆ่าเธออีกครั้งฉันก็จะทำ" ผมพูดอย่างมีอารมณ์
"ได้ ฉันจะลองปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อดู" อมรพูดให้ความหวังผม
อีกเกืออาทิตย์ ผมตื่นเต้นมาก เมื่อได้รับพัสดุที่พ่อของอมรส่งมาให้ ผมค่อย ๆ แกผนึกออกอย่างช้า ๆ และก็ต้องลุกตาวาวเมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ มีดปลายแหลมขนาดยาวประมาณเก้านิ้ว แค่มองด้วยสายตาก็สัมผัสถึงความคมกริบของมันได้ ที่เนื้อเหล็กมีอักขระคล้ายคาถากำกับอยู่ ด้ามเป็นไม้ลงดำมีร่องจับได้ถนัดมือ ในกล่องมีกระดาษเขียนไว้อธิบายขั้นตอนการกำจัดผีร้าย ผมหยิบขึ้นมาอ่านแม้ว่าจะได้ฟังคำอธิบายมาจากพ่อของอมรมาบ้างแล้วอย่างชัดเจน ขั้นตอนก็คือหลอกล่อให้ผีกิ่งออกมาปรากฏกายในกระจก หลังจากนั้นก็จัดการแทงไปในร่างของเธอบนกระจกด้วยมีดอาคมเล่มนี้ เพื่อส่งดวงวิญญาณของเธอลงไปสู่ขุมนรก
แต่เนื่องจากที่ห้องไม่มีกระจกหลงเหลืออยู่เลยภายในห้อง ผมจึงสั่งกระจกจากร้านเฟอร์นิเจอร์เพื่อซื้อกระจกโต๊ะเครื่องแป้งบานใหญ่ ใกล้เที่ยงคืนแล้วซึ่งเป็นเวลาที่ผมได้รับคำแนะนำจากพ่อของอมรว่าเหมาะสมที่จะปฏิบัติการ ผมนั่งลงหน้ากระจก วางมีดอาคมไว้บนโต้ะ และค่อย ๆ แกะกระดาษที่ห่อกระจกออก ผมได้เห็นร่างของเธอปรากฏขึ้นมาบนกระจกทันที เธอมองผมด้วยความอาฆาต ผมเผลอยิ้มออกมาและค่อย ๆ เอื้อมมือไปเพื่อคว้ามีด แต่ไม่ทันที่จะทำอะไร ร่างของเธอกลับหายวับไป เธอคงรู้ตัวแน่ ๆ ผมน่าจะเก็บอาการให้ดีกว่านี้ รอให้เธอตายใจก่อนแล้วค่อยลงมือ ผมถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ภาพโดย joostrikkerink จาก Pixabay.com
แต่ผมก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะในขณะที่ผมกำลังทำสีหน้าเบื่อหน่าย เงาของผมในกระจกกลับแสยะยิ้ม ตาเบิกกว้าง ผมพยายามเปลี่ยนอิริยาบถ แต่เงาในกระจกกลับไม่เปลี่ยนตาม
ผมพยายามถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมตัวผมและเงาในกระจกถึงไม่สัมพันธ์กัน และดูเหมือนว่าผมจะได้รับคำตอบ เมื่อเห็นร่างของตัวเองในกระจกเผยอปากพูดออกมาด้วยเสียงของผู้หญิง ผมจำได้แม่นยำว่าเป็นเสียงของกิ่ง
"ฉันจะฆ่าแก"
ตอนนั้นผมรู้แล้วว่าร่างเงาในกระจกของผมถูกนางผีร้ายเข้าสิง
"ฉันต่างหากที่จะฆ่าแก"
ผมตะโกนลั่นด้วยความโกรธแค้น จึงเอื้อมมือไปหยิบมีดที่อยู่ใกล้มือ แต่กลับเป็นเรื่องยากลำบากมาก มือและแขนของผมเหมือนกำลังถูกอะไรบางอย่างฉุดรั้งเอาไว้ สมองของผมเริ่มปั่นป่วน ความรู้สึกเริ่มขาด ๆ หาย ๆ แต่สุดท้ายมีดก็ถูกหยิบขึ้นมาจากโต๊ะ ผมพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะครั้งสุดท้าย และก่อนที่จะหมดความรู้สึก ผมได้ยินเสียงกระจกแตก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง
.............................
ผมได้สติขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าตัวเองกำลังฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะ ผมได้แต่หวังว่าทุกอย่างคงจะจบลงแล้ว วิญญาณของกิ่งน่าจะออกไปจากชีวิตผมเสียที ผมค่อย ๆ เงยหน้ามองกระจกเงาและรู้สึกโล่งปลอดโปร่งใจ เมื่อไม่เห็นร่างของเธออีกแล้วในกระจก มีดของพ่ออมรได้ผลจริง ๆ
แต่เดี๋ยว ผมเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป ไม่ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้! เงา เงาของผม ทำไมผมไม่เห็นเงาของตัวเอง ใช่ นอกจากเงาของเธอในกระจกแล้ว ผมยังไม่เห็นเงาของตัวเองอีกด้วย งั้นก็หมายความว่า....
เมื่อผมก้มมองดูที่พื้นก็ต้องใจหายวาบเมื่อพบร่างของตัวเองนอนแผ่หลา เลือดไหลนองพื้น มือยังคงกำมืดที่ปักอยู่ตรงกลางหัวใจไว้แน่น ผมเริ่มย้อยนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้เป็นฝ่ายฆ่าเธอ แต่เธอใช้วิธีเข้าสิงเงาของผมในกระจกเพื่อให้มันฆ่าผมซึ่งเป็นเจ้าของเงา ผมมองดูร่างหรือศพของตัวเองอีกครั้ง ตำรวจคงต้องแปลกใจและตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมคนที่ถนัดขวาอย่างผมถึงได้แทงตัวเองด้วยมือซ้าย แต่กลับทำให้ผมไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย มันเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วผมจะได้ไม่ต้องมานั่งกลัวและผวาอีกต่อไป และผมได้เข้าใจทั้งหมดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของผมเอง ที่ได้กระทำกับเธอในวันนั้น เพราะ "อารมณ์โกรธแค้นของผม" ที่กลับมาทำร้ายตัวผมเองในตอนนี้ ผมยอมรับได้ทุกสิ่งเพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมหายจากความกลัวกระจกเงา...
============================
เล่าเรื่องโดย Sara Sahara
ความคิดเห็น






