อื่นๆ

"เรื่องเล่า" จากลุ่มน้ำแยงซีเกียงสู่เจ้าพระยา

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
"เรื่องเล่า" จากลุ่มน้ำแยงซีเกียงสู่เจ้าพระยา

เรื่องและภาพถ่ายโดยผู้เขียน

ก่อนหน้าการไปเยือนที่นครฉงชิ่ง ประเทศจีน ผมแลกเงินหยวนและพกทุกบัตรไว้เต็มกระเป๋า แต่พอไปถึงตามห้างร้านต่าง ๆ กลับรู้สึกแปลกใจว่าทำไมผู้คนชอบมองมาแปลก ๆ เวลาจ่ายเงินสด  เข้าวันที่ 3 ถึงได้รู้ว่า “คนที่นี่เขาไม่ใช้เงินสด” คำถามที่เกิดขึ้นคือ ถ้าไม่ใช้เงินสดแถมบัตรเครดิตก็ไม่เห็นใช้กัน แล้วเขาใช้อะไรกัน ? สิ่งที่เขาใช้เพื่อจ่ายเงินทั้งของอุปโภคบริโภคตั้งแต่ราคาถูกสุดถึงแพงสุด ทั้งร้านข้างทางจนถึงร้านหรูในห้างร้านและโรงแรมของ คนที่นี่เขาจ่ายผ่านอาลีเพย์ (Alipay) และวีแชท (WeChat) บางท่านอ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจจะบอกว่าประเทศไทยเราก็มี แถมบ้านเราก็ยังมีช่องทางการจ่ายเงินอื่นๆ มากมายผ่าน QR Code ไม่เห็นแปลกอะไร

การชำระเงินของชาวจีนในห้างสรรพสินค้าสิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อนึกถึงประเทศจีน เรายังยึดติดกับขนบความคิด หรือภาพ (Stereotype)  ของคนจีนว่าเขายังเชื่องช้าอยู่ แต่ทว่าในหลาย ๆ เรื่อง อย่างเช่นในเรื่องของฟินเทค (FinTech มาจากคำว่า Financial และ Technology คือการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจการเงิน) ที่ฉงชิ่งนี้เขามีมานานเนิ่น และไม่ใช่เฉพาะที่ฉงชิ่ง แต่ทุกเมืองทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เขาแทบไม่ใช้เงินสดหรือบัตรเครดิตกันแล้ว ไปไหนเขาก็พกเพียงสมาร์ทโฟน ติดตัวไปได้ทุกที่ทุกเวลาโดยแทบไม่ต้องส่งภาษาใด ๆ ต่อกันเลย เพียงแค่ส่งสมาร์ทโฟนไปจะยี่ห้อไหนหรือราคาเท่าไหร่ก็ไม่เป็นปัญหา เพียงยื่นให้พนักงานสแกนให้มีเสียงดัง “ติ๊ด” ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการจ่ายเงิน

Advertisement

Advertisement

แน่นอนว่าที่เมืองไทยยังไปไม่ถึงจุดนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ เราเพียงแค่นิยมหรือทำกันตามกระแสเพียงในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งและสุดท้ายก็กลับมายืนอยู่จุดเดิม สาเหตุส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความไม่มั่นใจในระบบความปลอดภัยทางการเงิน ทั้งที่ก็มีหน่วยงานของรัฐพยายามทำแต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก แล้วข้อคำถามคือทางจีนสามารถทำได้อย่างไรทั้งที่เป็นประเทศใหญ่และประชากรเยอะกว่าเราหลายเท่าตัว เขาสามารถดึงดูดผู้คนและปลดล็อกคนของเขาให้เข้าสู่ยุคที่การเงินหลอมรวมกับเทคโนโลยีอย่างลงตัว มันหมดยุคการถอนเงินสดใส่กระเป๋าแบบเจมส์ บอนด์ 

ฉงชิ่ง
ฟินเทคจึงถือเป็นปรากฏการณ์แห่งการปฏิวัติวงการการเงินซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัวหากแต่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราควรหยิบจับสาระสำคัญมาพิจารณาโดยเฉพาะในเชิงการค้าการลงทุน อย่างเช่นเว็บไซต์ “TaoBao” (เถาเป่า) ซึ่งถือเป็นเว็บไซต์การซื้อของที่ดังและใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและมีขายทุกอย่างบนโลกใบนี้ คนจีนเวลานี้จึงไม่ค่อยนิยมไปชอปปิ้งตามห้างร้าน แต่กลับเลือกซื้อของบนสมาร์ทโฟนจาก TaoBao ไม่ว่าจะของกินของใช้ ไปจนถึงสินค้าทางการเงิน หรือแบรนด์เนมล้วนจบที่ TaoBao อย่างย่านดังเจียงฟางเป่ยทีฉงชิ่งเราจึงมักเห็นผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวมาเดินเล่นถ่ายรูปกันมากกว่าการมาซื้อของ 

Advertisement

Advertisement

ข้อสังเกตอีกประการที่น่าสนใจสำหรับการไปเยือนจีนแผ่นดินใหญ่ในครั้งนี้คือ การตั้งเป้าหมายของจีนซึ่งดูเหมือนว่าอาจเป็นเรื่องยากหรืออาจเป็นไปไม่ได้ แต่จีนไม่เคยยี่หร่าต่อสิ่งดังกล่าวหากมีเป้าหมายที่ชัดเจน มั่นใจถึงสิ่งที่ต้องการและศักยภาพที่มี และเชื่อว่าเป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่อย่างยั่งยืนมาสู่ผู้คนในชาติแล้วก็ต้องพร้อมที่จะขับเคลื่อนทุกภาคส่วนให้เดินไปข้างหน้าโดยพร้อมกันอย่างต่อเนื่อง

นครฉงชิ่งดังเช่นการที่ สภาแห่งชาติของประเทศจีน (The State Council) ได้ประกาศ "A Guideline on Developing Artificial Intelligence" หรือยุทธศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของ AI (AI หรือ Artificial Intelligence คือ ปัญญาประดิษฐ์ที่จะทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์หรือเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ได้) ซึ่งถือว่าจีนมองเห็นโลกอนาคตว่าประเทศในศตวรรษที่ 21 จะอยู่ได้ไม่ใช่ด้วยทรัพย์สมบัติที่อยู่ในรูปของเงินทุนสำรองของประเทศเพียงอย่างเดียวหากแต่เป็นทรัพย์สมบัติทางความคิดของผู้คนในชาติ ความกล้าหาญของจีนในเรื่องของการตั้งเป้าหมายจึงสมควรหยิบยกมาเป็นแบบอย่าง ไม่ว่ามีนัยสำคัญจะเป็นอย่างไร การปรับประเทศด้วยการยกระดับ AI ให้เป็นยุทธศาสตร์ชาติ จึงเป็นเป้าหมายที่ท้าทายที่อาจทำให้จีนกลายเป็นผู้นำของโลกด้าน AI ภายในปี 2030

Advertisement

Advertisement

เหมือนเรื่องราวของเด็กอายุ 9 ขวบ ที่ตั้งคำถามต่อนักบินอวกาศขององค์การนาซ่า (NASA) คนหนึ่งว่า “ในฐานะที่คุณเคยอายุ 9 ขวบมาก่อนคุณทำอย่างไรเมื่อมีใครบางคนมาบอกคุณว่า สิ่งที่คุณคิดมันเป็นไปไม่ได้ และคุณมีวิธีการอย่างไรในการรักษาแรงบันดาลใจและไม่ล้มเลิกความฝันที่จะเป็นนักบินอวกาศ” ซึ่งนักบินอวกาศตอบไปว่า “การไปฟังเสียงหรือเชื่อคนอื่นแต่เพียงอย่างเดียวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นอยู่แล้ว หัวใจสำคัญคือ ความมั่นใจในศักยภาพของตัวเองในสิ่งที่เราทำได้” ฉะนั้นระบบความคิดและความเชื่อจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะทลายคำวิจารณ์ คำดูแคลน หรือแม้แต่คำว่า "เป็นไปไม่ได้" ของผู้อื่นให้กลายเป็นเพียงแค่เสียงกระซิบของสายลมที่ผ่านเลยไป

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์