อื่นๆ
ให้ความสำคัญกับความต้องการของคนอื่นมากกว่าตัวเอง

โดยธรรมชาติแล้ว การที่เราต้องดำเนินชีวิตไปตาม “คุณค่า” ที่มีผู้ตีกรอบไว้ให้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรอบของครูบาอาจารย์หรือพ่อแม่มักเป็นความคับข้องใจจนก่อให้กลายเป็นคนอมทุกข์ ผิดหวัง โมโห ฉุนเฉียว และขมขื่นได้ เราต้องเป็นตัวของตัวเอง มีหนทางเดินทางตัวเองตอนที่ยังเป็นเด็ก ๆ เราต้องอาศัยการยอมรับและให้รางวัลจากพ่อแม่หรือเพื่อให้สังคมยอมรับว่า “โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ชีวิตแบบนี้ในช่วงที่เป็นเด็กก็ยังพอรับได้ แต่เมื่อพ้นจากความเป็นเด็กแล้ว ชีวิตจริงมันห่างไกลจากโลกอุดมคติมากทีเดียว

ความรู้สึกสำนึกผิดขณะที่อยู่กับครอบครัว มักจะเป็นต้นแบบของความรู้สึกที่เกิดขึ้น หากเราพลาดที่จะให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้อื่นมากกว่าตัวเอง เรารับรู้ถึงความคาดหวังที่พวกเขามีต่อเราและรู้สึกผิดหากทำให้พวกเขาผิดหวัง เพื่อจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดเราและรู้สึกผิดหวัง เพื่อจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดเราจึงถือว่าความต้องการของคนอื่นต้องสำคัญของตัวเอง ลูก ๆ ที่ไม่แยกบ้านออกมาจากพ่อแม่ เพราะทนไม่ได้ที่จะเห็นพ่อแม่แก่เฒ่าลงตามลำพังก็จะยกให้ความต้องการของพ่อแม่สำคัญกว่าของตัวเองและตัดสินการกระทำของตนว่า “เป็นการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสม”
Advertisement
Advertisement
มีคนจำนวนหนึ่งที่สมัครใจเป็นสาวกลัทธิ ศาสนา หรือกูรูแล้วก็พยายามถอดแบบทั้งความเชื่อ คุณค่า ท่าทาง หรือแม้แต่การแต่งกาย โดยไม่ใส่ใจกับความต้องการของตนเอง มีหลาย ๆ กรณีที่กลายเป็นความคลุ้มคลั่ง ความเป็นจริงที่เข้าใจได้ง่าย ๆ ก็คือเขาก็คือเรา ไม่มีทางที่เราจะเป็นคนอื่นไปได้
คุณต้องยอมรับในสิ่งที่คุณมีคุณเป็นและเข้าใจให้ได้ด้วยว่า สิ่งที่สำคัญไม่ใช่จุดที่คุณยืนอยู่ในปัจจุบันแต่เป็นตำแหน่งแห่งที่ซึ่งคุณจะก้าวไปเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
ความดุเดือดเผ็ดร้อนและรุนแรงที่พรั่งพรูออกมาเพื่อปกป้องอาณาจักรของตน (พ่อแม่, ผู้นำ, กูรู, ศาสนา, พระเจ้า, ความเชื่อมั่น, ศรัทธา, รัฐบาล, ประเทศชาติ) ก็คือพลังงานที่เปลี่ยนทิศจากตัวเองออกไปสู่ผู้คนโดยรอบ

จากประสบการณ์ของเราเอง ความขัดแข้งภายในใจมักจะมาจากการคาดหวังให้ตัวเองเป็นได้มากกว่าที่กำลังเป็นอยู่ และมองด้วยวิสัยทัศน์แคบ ๆ จนลืมไปว่าแม้แต่ที่กำลังเป็นอยู่นี้ก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของกระบวนการที่กำลังดำเนินต่อเนื่องไปเท่านั้นเอง การเปลี่ยนแปลงมันยังไม่จบจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต และยังมีผู้ที่พยายามให้คุณเชื่อว่าถึงตายไปแล้วก็ยังไม่จบ ด้วยเหตุนี้เอง คุณอาจจำต้องยอมรับความจริงว่า คุณกำลังก้าวเดินไปบนถนนแห่งการพัฒนาตัวเองที่เป็นเส้นทางสายยาว กว่าจะทันรู้ตัวคุณก็อาจจะจำคนที่เคยคิดว่าเป็นคุณไม่ได้ซะแล้ว ซึ่งก็ต้องถือเป็นเรื่องดี เพราะมันแปลว่า เรายังคงมีหวังและยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกเสมอ
Advertisement
Advertisement
เราทุกคนล้วนมีนิสัยแฝงที่เห็นคนอื่นสำคัญกว่าตัวเองอยู่ไม่มากก็น้อย ไม่ฉะนั้นโลกคงจะแตกต่างไป ชีวิตคงจะไม่เหมือนเดิม และผู้คนก็คงจะเห็นแก่ตัวมากกว่านี้อีก สังคมอย่างที่เรารู้จักก็คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การสำนึกผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ นับเป็นเรื่องดีและอาจพาไปสู่การเสียสละบ้างในบางสิ่ง ซึ่งก็ต้องนับว่าดีอีกเช่นกัน ตราบเท่าที่เกณฑ์วัดยังคงเอื้อมาเข้าข้างตัวเรา อะไร ๆ ก็จะลื่นไหลได้ง่ายขึ้น
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็ควรจะคอยสังเกตสิ่งที่เรามักทำเพื่อคนอื่นจนติดเป็นนิสัย และถามตัวเองถึงแรงบันดาลใจ
คุณทำสิ่งที่ทำอยู่เพราะรู้สึกว่าต้องทำหรือเปล่า
คุณทำสิ่งที่ทำอยู่เพราะรู้สึกว่าอยากจะทำหรือเปล่า
คุณทำสิ่งที่ทำอยู่เพราะรู้สึกผิดหรือเปล่า
คุณทำสิ่งที่ทำอยู่เพราะต้องการให้บุคคลผู้นั้นรับรู้และยอมรับใช่หรือเปล่า
Advertisement
Advertisement
หากคุณถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ แล้วเป็นสุขกับคำตอบและพฤติกรรมที่กระทำอยู่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่ ก็ยังมีขั้นตอนต่อไปบนเส้นทางแห่งอิสรภาพสายนี้รอคุณอยู่

โยนกลองให้ชาวบ้าน : ตำหนิผู้อื่นตลอด เคยบ้างไหมที่จู่ ๆ คุณก็เกิดไม่ชอบหน้าใครบางคนขึ้นมาเฉย ๆ อย่างอธิบายไม่ได้ คุณหาเหตุผลไม่ได้ว่าเหตุใดคุณจึงหงุดหงิด ร้อนระอุเป็นฟืนเป็นไฟ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกำลังโยนความรู้สึกที่ทำให้คุณไม่สบายใจ อยากจะผลักไสไปให้พ้นตัว ก็เลยต้องหาแพะรับช่วงไป อาจเป็นไปได้ว่า ตอนที่คุณเฉียวขณะที่ถกเถียงอยู่กับใครบางคน ก็อาจจะโพล่งออกไปว่า “ใคร.. ฉันน่ะเหรอ.. ฉันโอเค!... ไม่มีปัญหา.. ฉันไม่ใช่คนมีปัญหา.. เธอนั่นแหละมีปัญหา หากพบเจอคนที่ดูจะโวยวายเกิดเหตุหรือประท้วงข้าง ๆ คู ๆ พนันกันหมดกระเป๋าได้เลยว่า เขากำลังพยายามโยนกลองให้ชาวบ้าน
เจ้าแห่งเหตุผล : หาข้ออ้างมาแก้ตัวได้ตลอด มนุษย์เราเป็นสัตว์โลกที่ชอบแสวงหาความหมาย และมักจะยัดเยียดความหมายให้กับทุกเรื่อง เวลาที่ประสบกับอะไรสักอย่างที่รับไม่ค่อยได้ ก็มักจะพยายามหาเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง
จุดประสงค์ของเราคือเพื่อช่วยให้คุณพบความหมายของชีวิต เพราะเราเองก็เชื่อว่าชีวิตมีความหมายเช่นเดียวกันกับคุณ มันต้องมีเหตุผล มีสาเหตุ มีจุดประสงค์ ที่ทำให้ทั้งคุณและเรามาอยู่บนโลกใบนี้ได้ หรือจะให้เรายอมรับความคิดอีกแบบหนึ่งว่า ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องบังเอิญทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้เอง ความเป็นเจ้าเหตุผลก็อาจนับว่ามีข้อดีอยู่บ้างยังไงก็ตาม เรามักจะเอากลไกนี้ไปใช้ในกรณีที่เรากระทำสิ่งที่ไม่น่าชื่นชมลงไปด้วยเช่นกัน อาทิ ความใจจืดใจดำ ความอคติลำเอียง หลังจากที่เราทุ่มเถียงอย่างรุนแรงและเผลอปล่อยผรุสวาจาที่ไม่บังควรออกไป เราก็จะให้เหตุผลว่า “ปกติเราไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกนะ แต่ถ้าไม่ทำเธอก็จะพล่ามต่อไปเป็นเรื่องยาวไม่รู้จบ ในสถานการณ์แบบนั้นเราจะมัวแต่ถนอมน้ำใจกันอยู่คงไม่ได้ ใครสักคนต้องยุติมัน แล้วบังเอิญว่ามันต้องเป็นเราน่ะซิ” ข้ออ้างแบบนี้สนับสนุนด้วยเหตุผลร้อยแปดที่ช่วยทั้งลดทั้งทอนน้ำหนักของพฤติกรรมซึ่งไม่น่าจะรับได้ในภาวะปกติ สรุปง่าย ๆ ก็คือ เราเพิ่งจะทำสิ่งที่ผิดลงไป แต่ก็หาข้ออ้างและเหตุผลมาสนับสนุนให้ผิดกลายเป็นถูกจนได้
ความเป็นเจ้าเหตุผลยังมักถูกนำมาใช้เวลาที่เราไม่สบายใจจากสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมเช่น เวลาที่เพื่อนใจจืดใจดำกับเรา เวลาที่เพื่อร่วมงานอารมณ์ไม่ดีและเข้ามาทำงานสาย ที่เขามาสายก็เพราะทะเลาะกับคนรักหรืออาจเลยเถิดไปถึงเหตุผลที่ว่า เขามาสายเพราะไม่ใส่กับงานที่นี่อีกแล้ว
ความเป็นเจ้าเหตุผลทำให้เรารู้สึกมั่นคง รู้สึกว่าเรารู้ทุกเรื่องมีคำตอบกับทุกคำถาม ปัญหาก็คือ คำตอบเหล่านั้นใช่ว่าจะถูกไปซะทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เองเพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ด้านลบ เราควรจะตั้งคำถามตัวเองเกี่ยวกับข้อสรุปของเรา
แม้ว่าคนเรานั้นจะหิวกระหายความมั่นคงและความแน่นอน แต่เราก็ควรจะตรวจทานโลกใบนี้ด้วยคำถามง่าย ๆ อาทิเช่น แทนที่เราจะด่วนสรุปเหตุการณ์ที่เพื่อนมาทำงานสายให้เหลือเพียง 2 ประเด็นว่าทะเลาะกับคนรักหรือไม่ใส่ใจกับงานนี้อีกแล้ว เราน่าจะลองตั้งคำถามว่า

- เราจะรู้ได้ยังไง
รู้ได้ยังไงว่า การที่เขามาสายแปลว่าไม่ใส่ใจกับงานนี้แล้ว
รู้ได้ยังไงว่า เขามีปัญหาที่บ้าน ถึงได้มาอารมณ์ไม่ดีในที่ทำงาน
การด่วนสรุปเอาเองเป็นเรื่องอันตราย ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าแม้ว่าคำตอบมันอาจจะดูน่าเชื่อ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะถูกต้องเสมอไป คุณต้องพยายามตรวจสอบกระบวนการตั้งสมมุติฐานของคุณให้ดีตั้งแต่เริ่มต้น ไปจนกระทั่งคุณได้เหตุผลนั้นมา
ขอบคุณภาพปกจาก unsplash.com
ขอบคุณภาพประกอบเนื้อหา ภาพที่ 1 , ภาพที่ 2 , ภาพที่ 3 ,ภาพที่ 4 , ภาพที่ 5
ความคิดเห็น






