อื่นๆ

3 ข้อดีของการนั่งสมาธิเป็นประจำ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
3 ข้อดีของการนั่งสมาธิเป็นประจำ

การนั่งสมาธิหลายคนอาจคิดว่ามันเป็นของศาสนาพุทธ ซึ่งผู้เขียนก็เข้าใจแบบนี้มาโดยตลอด 😂 แต่จริง ๆ แล้วการนั่งสมาธินั้นเป็นของสากลไม่ได้ขึ้นกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งและไม่จำเป็นต้องบริกรรมคำพูดใด ๆ แต่สามารถใช้จิตจดจ่อไปที่ลมหายใจเข้า-ออกได้เลยค่ะ ซึ่งผู้เขียนเองเป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธตอนเด็ก ๆ ครูมักจะฝึกให้นั่งสมาธิโดยท่องพุท-โธ ตามลมหายใจเข้าออกและการทำแบบนั้นติดต่อกันนานนับสิบปีทำให้ผู้เขียนยึดติดกับการบริกรรมพุท-โธไปโดยปริยาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนะคะ สำหรับคนที่บริกรรมพุท-โธอยู่ สามารถบริกรรมได้ตามปกติเลยค่ะ สำหรับมุมของผู้เขียนแค่รู้สึกว่าการจดจ่อที่ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวทำให้เราเพ่งจิตได้อย่างมีสติมากกว่าเท่านั้นเองค่ะ 

โดยผู้เขียนฝึกนั่งสมาธิมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก แต่ก็ไม่ได้นั่งถึงขั้นจริงจังหรือนั่งอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ วัน เพราะตอนนั้นเรายังเด็กมาก ยังติดเล่นสนุกอยู่ แต่พอโตมาผู้เขียนก็พยายามฝึกตนเองให้นั่งสมาธิบ่อยขึ้น โดยแรกเริ่มจะนั่งวันละ 15 นาทีค่ะ ใจอยากนั่งให้ได้วันละ 2 ชั่วโมงแต่ตอนนี้ยังไกลเป้าหมายนั้นอยู่ค่ะ เพราะถ้าใครเคยนั่งสมาธิมาบ้างจะทราบดีว่าการฝึกนั่งหลับตาเฉย ๆ จดจ่อไปที่ลมหายใจของปัจจุบันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ เดี๋ยวก็คันบ้าง ปวดนู้น ปวดนี่บ้าง ง่วงบ้าง อยากลืมตาบ้าง

Advertisement

Advertisement

แต่พอนั่งบ่อยเข้าร่างกายและสมองของเราจะเริ่มชินค่ะ การทำสมาธิจึงไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ปัจจุบันผู้เขียนก็ยังพยายามนั่งสมาธิให้ได้วันละ 15 นาทีอยู่ค่ะ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวนั้นได้อะไรดี ๆ จากการนั่งสมาธิเยอะเลยค่ะ แตไม่ใช่เชิงไสยศาสตร์อะไรแบบนั้นนะคะ เป็นเชิงวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสมองของเรานี่แหละค่ะ ซึ่งวันนี้ผู้เขียนจะนำประสบการณ์ตรงที่พูดถึงข้อดีของการนั่งสมาธิมาแบ่งปันให้ผู้อ่านทุกท่านและทุกศาสนาที่สนใจในเรื่องของการทำสมาธิเพิ่มความสุขในชีวิตได้อ่านกันค่ะ

1. มีสติมองโลกได้อย่างเที่ยงตรงมากขึ้นhttps://www.pexels.com/th-th/photo/346885/ภาพจาก Pexels

ข้อนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีกับตัวเราอย่างมหาศาลเลยค่ะ เมื่อก่อนผู้เขียนค่อนข้างมองโลกในแง่ลบเวลาเจอเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจก็มักจะเติมแต่งความรู้สึกนั้นมากเข้าไปอีก ทำให้เราเหมือนคนที่สุมไฟเข้าไปในกองเพลิงขนาดเล็กให้โหมรุนแรงขึ้น มองความผิดพลาดของคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม ใครทำอะไรไม่ถูกใจหน่อยก็มองว่าการกระทำของพวกเค้านั้นเลวร้ายและมักจะแสดงความไม่พอใจออกไปอยู่บ่อยครั้ง

Advertisement

Advertisement

แต่พอตอนนี้ผู้เขียนมองกลับไปมันเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก ๆ แต่ผู้เขียนในตอนนั้นกลับเอามันมาเป็นประเด็นใหญ่เสียอย่างนั้น การนั่งสมาธิช่วยเปลี่ยนความคิดและลดการปรุงแต่งเหตุการณ์ตรงหน้าได้ดีมากเลยค่ะ อย่างการถูกขับรถปาดหน้า เมื่อก่อนผู้เขียนจะหงุดหงิดและหัวร้อนมาก ๆ บางครั้งก็แอบด่าในใจ แต่ตอนนี้ผู้เขียนไม่มีความคิดนั้นแล้วค่ะ เพราะคนที่ขับปาดหน้าเรา เค้าก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เค้าก็อาจจะรีบไปทำธุระที่ไหนสักแห่งก็ได้หรือบางทีเค้าอาจจะไม่ทันได้เห็นเราก็ได้ การที่เราโกรธเค้า หงุดหงิดเค้าก็ไม่ได้ทำให้เค้ารู้สึกแย่หรืออยากขอโทษแต่อย่างใด เพราะเค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนขับรถตามหลังอย่างเรากำลังโกรธอยู่ ดังนั้นผู้เขียนจึงเลิกหยดยาพิษใส่ใจตัวเองแต่หันมาเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแทนค่ะ

2. ความคิดฟุ้นซ่าน/ความกลัว/ความกังวล/ความเครียดน้อยลง (มากกก)https://www.pexels.com/th-th/photo/207983/

Advertisement

Advertisement

ภาพจาก Pexels

อันนี้เมื่อก่อนผู้เขียนเป็นคนชอบคิดมากค่ะ ชอบกังวัลถึงสิ่งร้ายที่ยังไม่เกิดอยู่บ่อย ๆ  บางทีก็มีอาการที่มองโลกแบบหม่น ๆ คิดว่าชีวิตมันเคว้งคว้างไร้จุดหมาย (เมื่อก่อนเวลาความรู้สึกนี้เกิดขึ้นจะรู้สึกแย่มากเลยค่ะ เหมือนโลกมันไม่น่าอยู่สำหรับเรา) รวมถึงชอบเก็บเรื่องนู้น เรื่องนี้มาคิดให้พลอยเครียดอยู่เป็นประจำ แต่พอได้หันกลับมานั่งสมาธิดึงจิตให้อยู่กับปัจจุบันอาการต่าง ๆ เหล่านั้นหายไปแทบจะ 100% เลยล่ะค่ะ

ความคิดลบ ๆ ทั้งหลายเหมือนถูกทำลายไปจนหมด (เวลานั่งสมาธิสารแห่งความสุขจะหลั่งด้วยนะ) ตอนนี้ผู้เขียนใช้ชีวิตและจิตอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งนั่นทำให้รู้ว่าชีวิตที่มีความสุขที่สุดคือชีวิตที่จิตอยู่กับปัจจุบันค่ะ ชีวิตผู้เขียนดีขึ้นมากหลังจากนั่งสมาธิบ่อย ๆ เหมือนโลกภายในมันสมดุลและสวยงามมากขึ้นทำให้การมองโลกภายนอกนั้นสวยงามตามไปด้วย เหมือนดั่งประโยคที่ว่า "โลกภายนอก คือ กระจกสะท้อนสิ่งที่อยู่ภายใน"

3. ควบคุมอารมณ์ได้ดีมากขึ้น/อารมณ์เป็นบวกมากขึ้น https://www.pexels.com/th-th/photo/1263986/

ภาพจาก Pexels

ข้อดีนี้เหมาะกับคนที่ใจร้อน ขี้หงุดหงิดอย่างผู้เขียนในเมื่อก่อนมากก ๆ ด้วยความที่ตัวเราห่างจากการฝึกทำสมาธิมานาน จิตของเราจึงเป็นเหมือนจิตที่ไม่ได้ถูกฝึก ซึ่งจิตที่ไม่ได้รับการฝึกนี้จะเปรียบเสมือนสายน้ำที่มักไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ผู้เขียนที่นิสัยเป็นคนใจร้อนและหงุดหงิดง่ายอยู่แล้วจึงควบคุมตนเองไม่ค่อยอยู่มักจะแสดงพฤติกรรมแย่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ ทั้งกับคนรอบข้างและคนที่ไม่รู้จัก ใครทำอะไรไม่ถูกใจผู้เขียนก็มักจะชักสีหน้าใส่รวมถึงใช้คำพูดที่ไม่ดีด้วย

ซึ่งตอนนี้ผู้เขียนมองกลับไปแล้วรู้สึกละอายใจมากค่ะ มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย ยิ่งกับคนรอบข้างด้วยแล้ว ผู้เขียนรู้สึกยิ่งกว่าการละอายอีกค่ะ แต่อดีตที่ผ่านเลยไปเราย้อนกลับไปแก้ไขมันไม่ได้แต่เราทำให้ปัจจุบันนั้นดีขึ้นได้ค่ะ หลังจากผู้เขียนกลับมานั่งสมาธิก็ทำให้ผู้เขียนเห็นกระจกสะท้อนตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้นและรู้ว่าสิ่งใดควรแก้ไขปรับปรุงค่ะ ปัจจุบันผู้เขียนเลิกเป็นคนใจร้อนและขี้หงุดหงิดแล้วค่ะ กลายเป็นคนที่ใจเย็นมากขึ้นเพราะมองเห็นโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น ไม่ปรุงแต่งและไม่เข้าข้างตัวเองค่ะ จากคนที่อารมณ์บูดก็กลายเป็นคนที่หัวเราะง่าย ยิ้มง่ายกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน โกรธผู้อื่นได้ยากขึ้นและแม้จะโกรธก็หายเร็วค่ะ ชีวิตมีความสุขขึ้นเป็นกองโต ๆ เลยล่ะค่ะ

และทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ในชีวิตผู้เขียนค่ะ เรียกได้ว่ายิ่งกว่าเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือก็ว่าได้ค่ะ ใครจะไปคิดล่ะคะ ว่าการนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่กับตัวเองในปัจจุบันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอกให้ผู้เขียนได้มากขนาดนี้ แม้จะเป็นเรื่องที่แปลกแต่นี่คือเรื่องจริงค่ะ ทำได้จริงและเห็นผลลัพธ์จริง ๆ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านหลาย ๆ ท่านนะคะ และขอเชิญชวนให้มานั่งสมาธิกันวันละ 15 นาที ผู้เขียนรับรองว่า 3 เดือนเห็นความเปลี่ยนแปลงจากภายในแน่นอนค่ะ  ชีวิตของทุกท่านจะมีสุขเพิ่มมากขึ้นแน่นอน

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์