5 วิธีจัดการกับความรู้สึก "หมดไฟ"

   ผมเชื่อว่าแทบทุกคนในโลกจะต้องเคยประเชิญกับความรู้สึก หมดไฟ ในการที่จะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงให้มีความสุขหรือหมดไฟกับการทำงาน และกับพวกเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายแล้วเมื่อหมดไฟคนเราก็มักจะรู้สึกว่าชีวิตมันแย่ลงเรื่อยๆ ยิ่งคนที่ต้องออกห่างบ้านมาทำงานต่างจังหวัดคนเดียวก็ยิ่งรู้สึกยํ่าแย่ การที่ต้องอยู่เพื่อนั่งคิดทบทวนกับตัวเองอยู่ประจำว่าเรากำลังทำอะไรและเราจะต้องไปทางไหนต่อชีวิตรู้สึกขาดเป้าหมายที่จะต้องไปหรือพยายามที่จะไปแต่ยิ่งตามไปเป้าหมายก็เหมือนออกห่างไกลออกไป ทุกปัญหาในชีวิตทุกเรื่องราวที่พบพา และสังคมรอบข้างที่ไม่ใช่เซฟโซน ทุก ๆ อย่างที่มันแย่ต่างถาโถมเข้ามาจนทำให้รู้สึกหมดไฟ เราก็เคยเป็นหนึ่งผู้คนที่รู้สึกอย่างนั้นแต่เราก็ผ่านมันมาได้ เราจึงอยากจะนำเสนอวิธีจัดการกับความรู้สึกหมดไฟ เผื่อใครที่รู้สึกเหมือน ๆ กันจะได้มีกำลังใจและสู้ต่อไปวันในข้างหน้าได้ 

2. การออกไปทำในสิ่งที่อยากจะทำ

   เชื่อว่าหลายคนคงมีแพลนหรือกิจกรรมอะไรสักอย่างที่อยากจะทำแต่ชีวิตมันยุ่งอยู่ตลอดเวลาเลยไม่มีเวลาไปทำสิ่งเหล่านั้นสักทีและสิ่งที่อยากทำเหล่านั้นมันก็จะรู้สึกกวนใจเราอยู่ตลอดเมื่อเห็นคนอื่นได้ไปที่เราอยากไปหรือได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ มันยิ่งทำให้รู้สึกท้อและน้อยเนื้อตํ่าใจว่าทำไมถึงไม่เป็นเราที่ได้ไปหรือได้ทำ แต่จริง ๆ แล้วถ้าหากเรานั้นจัดระเบียบชีวิตใหม่แล้วมันก็จะทำให้เรานั้นมีเวลามากขึ้นและเพียงพอที่จะออกไปทำในสิ่งที่อยากทำหรือไปในที่ที่อยากไปแล้วเมื่อใดที่เราได้ทำสิ่งที่เราต้องการมันก็จะส่งผลให้สภาพร่างกายและจิตใจของเราได้พักผ่อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้วก็พร้อมที่จะดำเนินชีวิตต่อไปยังมีความสุขในวันข้างหน้าต่อไป

3. ตัดสิ่งที่ไม่ใช่ออก และเลือกทำแต่สิ่งที่ใช่

   การทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างนั้นสำหรับบางคนมันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับบางคนนั้นมันอาจจะเป็นการผืนตัวเองจนเกินไปที่จะต้องทำในหลายสิ่งหลายอย่างถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เรานั้นชอบหรือไม่ก็ตามแต่ก็ต้องจำใจทำเพราะมีเหตุผลจำเป็นต่าง ๆ แต่อยากให้ลองคิดดูใหม่กับการที่เรานั้นจะต้องแบ่งเวลาไปทำสิ่งอื่นที่มันอาจจะไม่ใช่วิถีชีวิตของเรานั้นมันคุ้มค่าแล้วจริงหรือ เพราะเวลานั้นมีค่ามากๆในแต่ละวัน หากเราจะต้องเสียมันไปกับสิ่งที่ไม่ใช่สู้เราเอาเวลาเหล่านั้นมาโฟกัสกับสิ่งที่ใช่สิ่งที่ตรงตามวิถีชีวิตของเราจะดีกว่าไหม มันอาจจะทำได้เรานั้นได้สิ่งตอบแทนน้อยแต่มันก็จะทำให้เรานั้นรู้สึกสบายใจหรือมีความสุขกับสิ่งที่ทำได้มากยิ่งขึ้นนั้นเอง

4. การออกจากที่ที่ไม่ใช่ที่ของเรา

   การเลือกที่จะเดินออกมามันไม่ใช่ว่าเรานั้นจะยอมแพ้หรือเป็นคนขี้แพ้เสมอไป แต่มันคือการยอมหลังและกลับมามองหาเส้นทางใหม่ที่เราจะต้องเดินไปข้างหน้าซึ่งมันอาจจะยากหรือง่ายกว่า แต่เชื่อเถอะว่ามันจะรู้สึกดีกว่าเส้นทางเก่าที่มันไม่ใช่เส้นทางของเราอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องวางแผนกับเส้นทางใหม่ให้ดีเพราะทุกการก้าวเดินในเส้นทางใหม่ก็จะต้องเจอกับปัญหาใหม่ ๆ แต่ผมเชื่อได้เลยว่าถ้าหากเรานั้นกล้าที่จะถอยออกมาก้าวเดินใหม่จะต้องมีสิ่งที่จะช่วยให้เรานั้นก้าวห้ามปัญหาเหล่านั้นไปได้อย่างแน่นอนเพียงแค่ให้เรานั้นกล้าหาญและอดทน เป้าหมายอยู่อีกไม่ไกลแค่ต้องก้าวเดินต่อไป

5. ไม่ต้องแบกรับทุกสิ่งเอาไว้คนเดียว

   สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดจนทำให้ผู้คนนั้นหมดไฟก็คือการที่จะต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้เพียงคนเดียว หลายๆคนและตัวผมเองก็มีภาระมากมายที่ต้องแบกรับเอาไว้มันเป็นภาระที่ไม่สามารถตัดแบ่งให้ใครช่วยแบ่งเบาหรือฝากให้คนอื่นจัดการให้ได้ แต่การที่เรานั้นจะไม่ต้องแบกมันไว้เพียงคนเดียวนั้นมันก็คือการได้บอกกล่าวหรือปรึกษาใครสักคนที่เขาตั้งใจรับฟังเราอย่างตั้งใจและเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังเผชิญ การที่เราจะไม่ต้องแบกมันไว้คนเดียวนั้นมันไม่ใช่แค่การที่จะต้องแบ่งภาระไปให้คนอื่น แต่มันคือการที่มีคนช่วยแชร์ความรู้สึกของเราในยามที่เราทุกข์ใจมองไปทางไหนก็ไม่เจอทางไปต่อ การที่มีคนมาช่วยรับฟังเรานั้นมันก็เหมือนการที่เราได้แบ่งภาระทางความคิดของเราให้คนอื่นได้รับฟังแล้วช่วยแก้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วเมื่อเราได้รับฟังความคิดและแง่มุมของคนอื่นบ้างมันก็จะช่วยให้ภาระทางความคิดเรานั้นลดน้อยลงจนสามารถหาทางไปต่อข้างหน้าเพื่อที่จะลดภาระต่างๆที่แบกรับอยู่ให้มันลดลงไปได้ในอนาคต

•    ส่วนตัวผมนั้นก็เคยมีความรู้สึกหมดไฟอยู่มาก ๆ ในช่วงที่ลงทุนและเกิดปัญหาหลายอย่างจนเงินลงทุนนั้นต้องเสียไปจนหมด มันเป็นเหตุให้รู้สึกว่าเรานั้นไม่เหลืออะไรเลย ทั้งเงินและความหวังจนทำให้ตัวผมนั้นหมดไฟที่จะทำอะไรต่อไป ผมต้องอยู่กับความรู้สึกหมดไฟนานอยู่พอสมควรจนเริ่มที่จะตั้งสติได้แล้วคิดเริ่มต้นใหม่ จึงได้เริ่มจะบริหารจัดการชีวิตใหม่ให้ตัวเองนั้นมีไฟลุกขึ้นมาดำเนินชีวิตต่อไปโดยผมนั้นก็ได้เริ่มจะการจัดการบริหารชีวิตใหม่โดยใช้หลักการและวิธีอย่างที่ผมได้แนะนำไปข้างต้นโดยเริ่มตั้งแต่ข้อแรกแล้วขยับไปข้อสองและสามตามลำดับ จนปัจจุบันชีวิตของผมนั้นเริ่มดีขึ้นมาทีละน้อย มันอาจจะไม่ดีเท่ากับช่วงก่อนหมดไฟแต่ผมเชื่อว่าสักวันมันจะดีกว่าที่เคยเป็นอย่างแน่นอน

   ทุกวิธีในการที่จะจัดการกับความรู้สึกหมดไฟนั้นมันจะต้องเริ่มจากการปรับความคิดของเราก่อนว่าเรานั้นคิดที่จะสู้ต่อไปแล้วหรือยังเพราะถ้าหากเราไม่คิดสู้เราก็จะไม่มีความคิดที่จะเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องบอกกับตัวเองแล้วว่าจะต้องสู้ต่อไปจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดียิ่งขึ้น อนาคตจะต้องดีกว่านี้ เริ่มทำตอนนี้ก็ยังไม่สาย จึงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เราก็ขออวยพรให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ผ่านพ้นทุกปัญหาที่เข้ามาในชีวิตและก้าวเดินไปในเส้นทางที่ดีและมั่นคง ขอให้ทุกคนมีความสุขครับ 

ขอขอบคุณเครดิตรูปภาพประกอบปก : รูปภาพที่ 1 โดย qimono

ขอขอบคุณเครดิตรูปภาพประกอบ : รูปภาพที่ 1 โดย Megan_Rexazin / รูปภาพที่ 2 โดย Pexels / รูปภาพที่ 3 โดย geralt / รูปภาพที่ 4 โดย geralt / รูปภาพที่ 5 โดย ParentRap

เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !