ไลฟ์แฮ็ก
"Refinance" vs "Retention" แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ? ในการรักษาสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยปกติแล้วการซื้อทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน คอนโด รถยนต์ หรือแม้แต่การลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ จะต้องใช้จำนวนเงินพอสมควรจึงจะสามารถซื้อหรือดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ได้ การกู้เงินจากสถาบันการเงินจึงเป็นอีกหนึ่งทางออกสำคัญที่ใครหลายคนเลือก เพื่อให้ได้ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้มาครอบครอง รวมไปถึงโอกาสสำหรับการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ การกู้เงินจากสถาบันการเงินจึงมีประโยชน์ในแง่ของการที่ผู้กู้สามารถนำเงินไปทำในสิ่งที่ต้องการได้อย่างราบรื่น และรวดเร็ว ในขณะเดียวกันผู้กู้ก็มีหน้าที่ที่จะต้องชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยการกู้เงินให้แก่สถาบันการเงิน แม้จะดูเหมือนเป็นเงินในอนาคตของผู้กู้เอง แต่หากผู้กู้จะต้องรอเก็บเงินให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ ซึ่งอาจจะกินเวลายาวนานหลายสิบปีกว่าจะได้ทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้นมาครอบครอง
Advertisement
Advertisement
เมื่อการชำระดอกเบี้ยให้แก่สถาบันการเงิน หรือผู้ให้กู้ เป็นภาระหน้าที่ของผู้กู้เงินที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดข้อปัญหาทางกฎหมาย หรือมีประวัติทางการเงินที่เสียหาย ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อผู้กู้เงินโดยเฉพาะการทำธุรกรรมกับทุกสถาบันการเงินที่เป็นไปอย่างยากลำบากในภายภาคหน้า ดังนั้นการรักษาสภาพคล่อง โดยการชำระดอกเบี้ยให้แก่สถาบันการเงิน หรือการเจรจาติดต่อกับสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะต่อตัวผู้กู้เงินเอง
แต่หลายครั้งพบว่า ในระหว่างการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่สถาบันการเงินนี้ เริ่มเกิดความติดขัด หรือไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ เช่น รายได้ที่เริ่มไม่เพียงพอ ค่าใช้จ่ายที่เริ่มมีมากขึ้น ดังนั้นควรเข้าไปเจรจาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงิน เพื่อหาวิธีการรักษาสภาพคล่องและเพิ่มประสิทธิภาพในการชำระเงิน เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ระหว่างผู้กู้เงินและสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันมีวิธีการหลักๆอยู่ 2 ประการ คือ "Refinance" และ "Retention"
Advertisement
Advertisement
การ "Refinance" (รีไฟแนนซ์) คือการที่ผู้กู้ได้ดำเนินการผ่อนชำระเงินกู้เงินมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทำให้ดอกเบี้ยเริ่มมีอัตราที่สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้กู้ต้องชำระดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นในอัตราที่สูงเช่นเดียวกัน ผู้กู้จึงไปขอเจรจากับทางสถาบันการเงินซึ่งอาจเป็นสถาบันการเงินแห่งใหม่หรือแห่งเดิม เพื่อปิดยอดการกู้เงินเดิม โดยวางทรัพย์สินที่กู้เงินมาซื้อนั้นเป็นหลักประกัน และขอกู้เงินในวงเงินใหม่ ทำให้ผู้กู้ได้รับอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่อาจน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเดิมก่อนหน้า รวมถึงได้รับวงเงินกู้เพิ่มเติมจากเดิม เพื่อนำไปรักษาสภาพคล่องหรือการลงทุนเพิ่มเติม หรือผู้กู้จะไม่ประสงค์กู้เพิ่มเติมก็ได้ การ Refinance จึงเหมือนเป็นการล้างหนี้เดิมและเริ่มกู้ใหม่อีกครั้ง กับสถาบันการเงินเดิมหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ ภายใต้อัตราดอกเบี้ยใหม่ จำนวนเงินกู้ที่มากขึ้น รวมถึงการชำระค่างวดรายเดือนที่อาจลดลง ซึ่งอาจแบ่งเบาภาระของผู้กู้ลงได้พอสมควร แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับกับระยะเวลาการผ่อนที่ยาวนานมากขึ้น
Advertisement
Advertisement
การ "Retention" (รีเทนชั่น) คือ การที่ผู้กู้ขอเจรจากับสถาบันการเงินเดิมเพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง ภายใต้วงเงินกู้ที่เท่าเดิม โดยทางสถาบันการเงินจะดูประวัติการชำระเงินที่ผ่านมาของผู้กู้ว่ามีความสม่ำเสมอหรือไม่ เพื่อพิจารณาอัตราดอกใหม่ ทำให้ผู้กู้ชำระดอกเบี้ยรวมถึงการชำระค่างวดที่อาจน้อยลง ซึ่งส่งผลให้ผู้กู้มีสภาพคล่องในการใช้จ่ายเงินมากขึ้น
ความแตกต่างระหว่าง "Refinance" และ "Retention"
- การ Refinance จะมีขั้นตอนการดำเนินการที่มากกว่าการ Retention ทั้งในเรื่องของการเตรียมเอกสาร การปิดวงเงินกู้เดิม การทำสัญญาฉบับใหม่ จึงอาจส่งผลให้ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการนานกว่าการ Retention ซึ่งมีขั้นตอนน้อยและการดำเนินการที่รวดเร็วเนื่องจากสถาบันการเงินเดิมที่จะไปทำการ Retention มีข้อมูลและเอกสารสำคัญของผู้กู้ครบถ้วนอยู่แล้ว
- การ Refinance มีค่าธรรมเนียบสำหรับดำเนินการมากกว่าการ Retention เช่น ค่าธรรมเนียมสินเชื่อใหม่ ค่าประเมินหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการจำนอง ฯลฯ ในขณะที่การ Retention จะเสียค่าธรรมเนียมเฉพาะการดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถาบันการเงิน
- การ Refinance จะเพิ่มพูนการเป็นหนี้มากกว่าการ Retention หากมีการกู้เงินในวงเงินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงระยะเวลาในการเป็นหนี้ที่ยาวนานขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ Retention ยังคงมีภาระหนี้เท่าเดิม
- การ Refinance อาจมีอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ต่ำกว่าการ Retention เนื่องจากการ Retention ของบางสถาบันการเงินอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้แก่ผู้กู้ในอัตราที่ไม่มากนัก
โดยสรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นการ Refinance หรือ Retention ก็ล้วนมีความคุ้มค่าต่อตัวผู้กู้ด้วยกันทั้งสิ้น หากพิจารณาแล้วอัตราดอกเบี้ยหลัง Refinance และ Retention ไม่แตกต่างกันมากนัก และผู้กู้ต้องการเปลี่ยนสถาบันการเงินรวมทั้งต้องการวงเงินกู้เพิ่มเติมก็ควรดำเนินการ Refinance ซึ่งสามารถตอบโจทย์การบริหารจัดการทางด้านการเงินของผู้กู้ได้มากกว่า หรือหากในกรณีที่ผู้กู้ต้องการเพียงแค่ขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนโดยไม่ต้องการวงเงินกู้เพิ่มแต่อย่างใด รวมทั้งต้องการให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปอย่างรวดเร็ว ก็ควรดำเนินการ Retention ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการก่อนเป็นประการแรกคือการเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินที่รับผิดชอบในเรื่องนี้โดยตรงเพื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยระหว่างการ Refinance และ Retention เพื่อหาที่ออกที่เหมาะสมและดีที่สุดต่อตัวของผู้กู้เอง
ภาพประกอบจาก unsplash ภาพหน้าปก, ภาพที่ 1, ภาพที่ 2, ภาพที่ 3, pixabay ภาพที่ 4

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์
ติดกระแส
กีฬา
ฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2025 ฟุตซอลหญิงไทย เปิดเงื่อนไข!สู่ฟุตซอลโลก

ฟุตบอลไทยสไตล์ยอดี้
Advertisement
Advertisement
Advertisement
Advertisement
Advertisement
ข้อตกลงและเงื่อนไข|Copyright © True Digital & Media Platform Company Limited. All rights reserved
ติดกระแส
กีฬา
ฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2025 ฟุตซอลหญิงไทย เปิดเงื่อนไข!สู่ฟุตซอลโลก

ฟุตบอลไทยสไตล์ยอดี้