อื่นๆ

"Work Hard" vs "Work Smart" ความต่างระหว่าง "พัง" และ "สำเร็จ"

1.6k
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
"Work Hard" vs "Work Smart" ความต่างระหว่าง "พัง" และ "สำเร็จ"

ด้วยยุคสมัยปัจจุบันที่เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทต่อการเป็นไปของโลกในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างในมิติกระบวนการทำงานของมนุษย์ ส่งผลให้มนุษย์ดูมีความชาญฉลาดขึ้น มีความสามารถมากขึ้น ทั้งในเรื่องของการคิดค้น การดำเนินการในสิ่งต่าง ๆ ที่ง่ายขึ้น การแก้ไขปัญหาที่หลากหลายมากขึ้น กระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับครั้งอดีต และด้วยความที่ทุกมิติอยู่ในลักษณะที่ก้าวกระโดดและเป็นไปอย่างรวดเร็วนี้ ย่อมส่งผลกระทบในอีกด้านอีกมุมหนึ่งตามมา หนึ่งในนั้นคือเรื่องของการแข่งขัน ทั้งในมุมของบุคลากรหรือหน่วยงาน เนื่องจากความชาญฉลาดของเทคโนโลยีและผู้คนทำให้ผลจากการทำงานมีคุณภาพที่เพิ่มสูงขึ้น และมีจำนวนมากยิ่งขึ้น การที่จะทำเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่สูงกว่า เหนือกว่า จึงกลายเป็นที่มาของความท้าทายในยุคปัจจุบัน

Advertisement

Advertisement

การทำงานขอบคุณภาพประกอบจาก unsplash

เราจะเห็นว่าการทำงานในปัจจุบันมีบุคลากรที่อาจแบ่งเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ Work Hard กับ Work Smart หรือกลุ่มคนที่ทำงานหนัก กับ กลุ่มคนที่ทำงานด้วยความชาญฉลาด ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้มีพฤติกรรมการทำงานที่แตกต่างกันสุดขั้ว กล่าวคือ

1. ประเภท Work Hard คือพวกบ้าการทำงานที่เน้นปริมาณ เป็นกลุ่มคนที่มีชีวิตเพื่อทุ่มให้กับงานจนลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง โดยเน้นการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ แต่ไม่เน้นว่าผลลัพธ์ที่ได้จะมีคุณภาพหรือไม่ หรือไม่สนใจว่างานที่ออกมาจะได้รับความพึงพอใจจากใครหรือไม่ เช่น การหมดเวลาไปกับกระบวนงานที่ไม่จำเป็น หรือการไปคิดวางแผนในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ทันต่อเหตุการณ์ การเสียเวลาไปกับขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและไม่อาจนำไปสู่การบรรลุความสำเร็จของหน่วยงานได้ หรือระแวงไม่อยากแบ่งงานให้ใครจึงต้องลงมือทำเองทุกอย่าง ฯลฯ ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้นอกจากจะใช้เวลาที่มากมายแล้วยังอาจทำให้ได้ชิ้นงานที่ไม่มีคุณภาพ หรืออาจไม่ประสบความสำเร็จเลย  นอกจากนี้การทำงานในลักษณะนี้ยังใช้พลังกายหรือพลังการทุ่มเทที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้ทานอาหารไม่ตรงเวลา เลิกงานดึกจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ไม่มีเวลาพักผ่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบตามมามากมาย ทั้งต่อสุขภาพร่างกายและความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว

Advertisement

Advertisement

โดยสาเหตุส่วนใหญ่ของกลุ่มคนที่มีรูปแบบการทำงานประเภทนี้ เกิดจากไม่รู้จักการเปิดโลกทัศน์ ไม่เคยปรับตัวเองกับยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่าน ไม่ชอบการทำงานเป็นทีม ไม่ชอบแบ่งงานให้ใคร ไม่รู้จักการบริหารเวลา ที่สำคัญคือไม่เคยวิเคราะห์ทบทวนตัวเอง และไม่เคยวิเคราะห์ถึงบริบทของงานที่ทำ

Work Hardขอบคุณภาพประกอบจาก unsplash

2. ประเภท Work Smart คือกลุ่มคนที่ทำงานด้วยความชาญฉลาด  มีความคิดสร้างสรรค์ ทันโลกทันเหตุการณ์ และมีการ update ความคิดและวิเคราะห์งานอยู่เสมอ รวมไปถึงการเห็นความสำคัญของการทำงานเป็นทีม ให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน มีการแบ่งงานไม่หวงงาน และที่สำคัญคือมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นอกจากงานที่มีคุณภาพแล้ว ภาระงานทั้งหมดยังถูกดำเนินการภายใต้ระยะเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งคนกลุ่มนี้จะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าจะเป็นผู้มีเวลาทำกิจกรรม หรือทำสิ่งต่าง ๆ มากมายอีกด้วย เช่น มีเวลาส่วนตัวใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง อยู่กับครอบครัวและคนรอบข้างอย่างมีคุณภาพ หรือที่เรียกว่า Work and Balance ซึ่งก็คืองานและการใช้ชีวิตจะต้องมีความพอดีหรือเท่ากัน จึงจะส่งผลให้ชีวิตประสบความสำเร็จ เนื่องจากการใช้ชีวิต หรือการ Balance ความมีชีวิตชีวาย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ส่งผลต่อความคิด และการบริหารจัดการต่าง ๆ

Advertisement

Advertisement

work smartขอบคุณภาพประกอบจาก unsplash

คนทั้ง 2 กลุ่มหรือรูปแบบการทำงานทั้ง 2 รูปแบบนี้ จึงเป็นที่มาที่เห็นได้ชัดระหว่างความล้มเหลวกับความสำเร็จ ซึ่งสิ่งที่ชัดเจนที่สำคัญที่สุดก็คือกระบวนการทางความคิด การทำงานงานแบบ Work Hard นั้นแน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดเป็นผลดีเลย มีแต่ผลเสีย ในขณะที่ Work Smart เต็มไปด้วยผลลัพธ์ด้านบวกต่อทุกฝ่ายและแทบจะมองไม่เห็นด้านลบเลย ดังนั้นหากพิจารณาให้ดีแล้วเราควรนำเอารูปแบบการทำงานแบบ Work Smart มาปรับใช้ในชีวิตการทำงานในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในเวลานี้หลายหน่วยงานอาจจะต้องเป็นไปในรูปแบบของ Work from Home อันเนื่องจากภาวะวิกฤติโรคระบาดที่รุนแรงที่สุดของโลกในรอบหลายสิบปี ซึ่งถือเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่จะฝึกการทำงานแบบ Work Smart อยู่ที่บ้าน เพื่อสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่งเนื่องจากการทำงานที่บ้านค่อนข้างมีอุปสรรคทั้งในเรื่องของการติดต่อสื่อสาร วัสดุอุปกรณ์ หรือทรัพยากรต่าง ๆ ตลอดจนความกระตือลือล้นที่อาจขาดหายไป ถือเป็นการสร้างความท้าทายและเสริมทักษะการทำงานให้พร้อมเมื่อสถานการณ์เป็นปกติและต้องกลับไปทำงานใน Office จะได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ โดยมีวิธีการที่หลากหลาย อาทิเช่น

1. การตั้งเป้าหมายการทำงานรายวันว่า วันนี้ผลผลิตหรือผลสำเร็จของงานมีอะไรบ้าง เช่น เราจะต้องทำงานได้กี่เรื่อง มีอะไรจะต้องแล้วเสร็จบ้างภายในวันนี้ เป็นต้น

2. การสื่อสาร หรือประชุมพูดคุยกับหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานให้ชัดเจนและต่อเนื่องถึงการแบ่งงาน หรือเนื้องาน ซึ่งอาจดำเนินการผ่านเครื่องมือสื่อสารหรือสื่อ Social ต่าง ๆ เพื่อจะได้ช่วยให้งานมีประสิทธิภาพและเห็นผลสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว

3. เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่างานกำลังเดินช้า หรือกำลังเผชิญกับปัญหา ให้ลองเปลี่ยนมุมคิด หรือการคิดนอกกรอบด้วยตนเอง โดยอาจค้นหาวิธีการหรือสอบถามพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือแม้แต่เพื่อนต่างสายงาน รวมไปถึงเพื่อนที่ไม่ได้อยู่หน่วยงานเดียวกัน บางครั้งคำตอบหรือคำบางคำที่ได้รับจากการสนทนา มันอาจทำให้เราเกิดตะกอนความคิดบางอย่างขึ้นมากระทั่งนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้

work at homeขอบคุณภาพประกอบจาก unsplash

ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่จะทำให้ Work Smart เกิดขึ้นได้จริงและมีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ผู้บริหาร หรือหัวหน้างาน หรือผู้บังคับบัญชา จะต้องมีชุดความคิดที่เปิดกว้างเป็นพื้นฐาน รู้จักการให้โอกาสและมอบความเท่าเทียมโดยเฉพาะความเท่าเทียมและเสรีภาพทางคิด รวมไปถึงรูปแบบการทำงาน เพราะแต่ละคนย่อมมีความคิด มีไอเดีย หรือวิธีการที่แตกต่างกัน การทำงานที่ไม่เน้น One Size Fits All หรือการที่ทุกคนต้องทำตามกันภายใต้รูปแบบเดียวกัน วิธีการเดียวกัน ย่อมไม่อาจนำไปสู่การบรรลุผลสูงสุดภายใต้การทำงานแบบ Work Smart ได้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้า Work Smart ไม่ได้ ความสำเร็จที่แท้จริงก็ไม่อาจบังเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

ขอบคุณภาพหน้าปกจาก unsplash

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์