ถ้าบอกว่าคำถามข้างต้นไม่มีคำตอบจากบทความนี้ จะยังอ่านต่อไหมคะ? เพราะถ้าเป็นคนขายประกันก็คงตอบได้ทันทีว่า ทำประกันเถอะ ดีแน่นอน อุบัติเหตุเป็นเรื่องไม่แน่นอน จริงไหม? แต่นี่ไม่ได้ขายประกันค่ะ ประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ เลย ไม่ศึกษา ไม่มีเปรียบเทียบแผนประกันเดินทางใดๆ ของเจ้าไหนเลย สรุป! ไม่มีคำตอบ แต่อ่านต่อไปเถอะ น่าจะมีประโยชน์ เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสักนิดหน่อยก็ยังดี :) 27 พ.ย. 2562 วันหวยประกันเดินทางออก จำนวน 294,xxx บาท มีเงินไปใช้หนี้แล้ว แต่กว่าจะมีวันนี้ขอเรียงลำดับเหตุการณ์ให้อ่านเป็นอุทาหรณ์ก่อนนะคะ ฉันกับน้องสาวมีแผนเดินทางไปจีนในช่วงวันที่ 23 ต.ค.2562 - 2 พ.ย. 2562 รวม 11 วัน ด้วยฤทธิ์โปรโมชั่น 11.11.2561 ทำให้กดจองตั๋วเครื่องบินเพียงหวังว่าจะไปจิ่วไจ้โก่วในปลายปี ทุกอย่างก็จะตามมาเองหลังจากนั้น อาการหลังจากจองตั๋วก็จะมีมึนๆ บ้างเล็กน้อย ว่าเราทำอะไรลงไป ซึ่งตอนนั้นก็เลือกซื้อประกันเดินทาง Tune Protect กับสายการบินไปด้วยในราคา 324 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบงงๆ คิดแค่ว่าควรมี และก็ซื้อทุกครั้งที่เดินทาง เพราะเวลาจองตั๋วต้องทำรายการให้เสร็จภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้ ไม่งั้นต้องมากรอก มาเลือกใหม่ เป็นอะไรที่เสียเวลามาก ก็เลือกๆ ไป อ่านแผนความคุ้มครองแบบคร่าวมาก คิดว่าซื้อแค่นี้น่าจะเพียงพอแล้ว 22 ต.ค. 2562 ระยะเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ก่อนเดินทางเพียง 1 วัน อะไรมาดลใจให้น้องสาวซื้อประกันเดินทางเพิ่มของ Cigna อีกเป็นเงิน 751 บาทก็ไม่รู้ 23 ต.ค. 2562 วันออกเดินทาง 29 ต.ค. 2562 วันเกิดเหตุไม่คาดคิด หรือที่เรียกว่า "อุบัติเหตุ" นั่นเอง เหตุเกิดที่ที่พักที่ฉงชิ่ง ก็แค่ล้ม แต่ไม่ได้เอาก้นลง กลับเอาแขนลงแทนเท่านั้น ศอกที่ไม่ตั้งฉากกับพื้นโดยแรงกระแทกบิดไปจากที่ควรจะเป็น หักเป๊าะ ศอกบวมทันตาเห็น แต่ด้วยความที่ดึกแล้วประมาณสี่ทุ่มเวลาท้องถิ่น จึงทนอาการเจ็บปวดเอาไว้ก่อน ระหว่างนั้นก็หาข้อมูลไปก่อนว่าจะไปที่ไหน อย่างไรดี 30 ต.ค. 2562 ไปโรงพยาบาลที่ฉงชิ่งในช่วงเช้า หลังจากอาบน้ำก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แขนยกไม่ขึ้น แม้แต่มัดผมตัวเองก็ยังทำไม่ได้ เมื่อถึงโรงพยาบาลก็ต้องเลิกพูดภาษาจีนงูๆปลาๆ เพราะมันจะยิ่งทำให้เค้าพูดภาษาจีนยาวเหยียดกลับมาหาเรา ถึงแม้เราจะบอกว่าเข้าใจภาษาจีนได้เล็กน้อยก็ตาม แต่ด้วยความเป็นคนต่างชาติ และอุบัติเหตุ พยาบาลก็ให้การช่วยเหลืออย่างดี พาไปทุกจุด ทุกขั้นตอน ติดขัดปัญหาบ้างเล็กน้อยก็ถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อเจอหมอ และเอ็กเรย์ หมอก็ถามว่าจะกลับไทยเมื่อไร เพราะต้องทำการผ่าตัดนะ ก็ตอบกลับไปว่ากลับวันที่ 2 พ.ย. 2562 หมอจึงทำการใส่เฝือกอ่อนไว้ให้ก่อนระหว่างนั้น ทำให้เกิดความรู้ใหม่อย่างหนึ่งว่า ประเทศไทยมีสาธารณสุขที่ดีกว่าจีน โดยดูจากหัตถการ และขั้นตอนระเบียบของโรงพยาบาล ค่ารักษาวันนี้ 370.xx หยวน หลังจากนั้นก็ดำเนินการเที่ยวตามแผนเดิมตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้จะไปไหนด้วยการห้อยแขนด้วยผ้าก๊อต และเฝือกอ่อนก็ตาม กลับมาที่พักตอนเย็น มือบวมจ้า เลือดที่ข้อศอกมันไหลมารวมกันตรงนี้ ปรึกษาน้องหมอที่รู้จัก น้องบอกว่าให้ยกแขนสูงไว้ ปกติจะเป็นคนไม่ชอบซื้อของ ช้อปปิ้งเท่าไร แต่ครั้งนี้ทำให้ต้องตามหา arm sling เป็น RC ตามร้านขายยาต่างๆ หาเท่าไรก็ไม่มี ทำให้กลับมาคิดว่า ของสิ่งนี้ไม่จำเป็น หรือเค้าไม่รู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ในโลกกันนะ หรืออีกอย่างที่นึกได้สำหรับสาธารณสุขประเทศจีน คือ การที่คนไม่คิดจะไปโรงพยาบาลหากไม่จำเป็น ซึ่งคำว่าจำเป็นของเค้ากับของเรานั้นต่างกันยิ่งนัก มันจึงทำให้บุคลากรในระบบสาธารณสุขไทยมีเท่าไรก็ไม่เพียงพอ เพราะเจ็บป่วยเล็กน้อยเราก็เข้าโรงพยาบาลกันละ ด้วยคำว่า "อยู่เฉยๆ จะหายป่วยได้ไง แล้วจะมีโรงพยาบาลไว้เพื่ออะไร" คำนี้ได้ยินกระเป๋ารถทัวร์คุยกะคนขับเมื่อต้องนั่งรถกลับบ้านต่างจังหวัดจริงๆ นะ ระหว่างเที่ยวก็หาข้อมูล นัดหมอไว้ล่วงหน้าเลย เพราะสอบถามกับทางประกันบอกว่า ให้ทำการรักษาโดยสำรองจ่ายไปก่อน และสามารถรักษาได้ภายใน 7 วันหลังจากครบระยะเวลาประกัน หมายถึง วันที่เรากลับประเทศไทย สรุปต้องรักษาให้เสร็จภายในวันที่ 9 พ.ย. 2562 นั่นเอง 2 พ.ย. 2562 วันเดินทางกลับก็มาถึง ตั้งหน้าตั้งตารอนัดหมอ เหมือนการนัดเดทกับหนุ่มครั้งแรกยังไงยังงั้น จริงๆ คือ อยากรีบรักษาให้เสร็จ จะได้รู้ว่าค่ารักษาจะเท่าไร เบิกได้เต็มจำนวนหรือไม่ 3 พ.ย. 2562 ได้พบหมอที่เมืองไทย โดยเอาฟิล์มเอกซเรย์ที่ประเทศจีนมาเป็นของฝาก หมอก็จับเอ็กซเรย์อีกที รวมทั้ง CT scan และนัดผ่าตัดได้สมใจ โดยหมอให้คำวินิจฉัยว่า "กระดูกข้อศอกแตกหัก เอ็นฉีกขาด ข้อเลื่อนหลุด" หมดไปอีก 17,515 บาท 6 พ.ย. 2562 วันผ่าตัดก็มาถึง โดยต้องมานอนโรงพยาบาลก่อนหนึ่งคืน เพื่อเตรียมความพร้อม อดอาหารล่วงหน้า การผ่าตัดก็ลุล่วงผ่าไปได้ด้วยดี ด้วยการดามโลหะ (ไทเทเนี่ยม) เพื่อยึดกระดูกที่แตกให้ติดกัน บวกกับน็อตอีก 14 ตัว อีกทั้งหมุดยึดเอ็นที่ขาดให้ติดกลับไปที่กระดูก สุดท้ายได้เป็นคนเหล็ก 2019 ละ เพราะโลหะนี้ต้องอยู่ในร่างกายเราไปอีกนาน อย่างน้อยน่าจะสัก 5 เดือน แถมต้องใส่เฝือกเหล็กต่อไปอีก 6 สัปดาห์ 8 พ.ย. 2562 ออกจากโรงพยาบาล ค่ารักษาครั้งนี้อีก 274,xxx บาท 11 พ.ย. 2562 สิ่งที่ต้องรีบทำในตอนนี้คือ ส่งเอกสารการเคลมให้บริษัทประกัน ทำการรวบรวมเอกสารที่จำเป็น และไม่จำเป็น (เพื่อระบุว่า อุบัติเหตุจริงๆ นะเฟ้ย) ส่ง ems เป็นการด่วน เพราะเวลาที่ผ่านไปทุกวันมันคือเงินและดอกเบี้ย 12 พ.ย. 2562 13:16 น. เอกสารถึงตู้ปณ.เรียบร้อย แต่ไม่มีคนรับ 13 พ.ย. 2562 14:26 น. ผ่านไปอีก 24 ชั่วโมงก็ยังไม่มีคนรับ โทรตามครั้งที่ 1 เจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ก็ช่วยเช็คสถานะให้ และบอกว่าพนักงานยังไม่ได้ไปเปิดตู้ ก็เลยถามว่าปกติเปิดวันละกี่ครั้งเวลาไหน ก็ตอบได้แค่วันละครั้งแต่ระบุเวลาไม่ได้ คือ ถ้าพนักงานเข้าไปที่ตู้เป็นเวลา นี่ก็ครบรอบ 24 ชั่วโมงแล้ว ทำไมยังไม่มีการเคลื่อนไหวอีก สรุปที่เร่งส่ง ems ไปก็เปล่าประโยชน์นะ หลังจากโทรตามไปสักพัก สถานะก็เปลี่ยนเป็นนำจ่ายสำเร็จ สถานะนำจ่ายสำเร็จ หลังจากโทรตามตอน 14:26 น. 17 พ.ย. 2562 วันตัดไหม ได้เอาเฝือกอ่อนออกเสียที แต่ได้ตะขาบมาแทนที่ 18 พ.ย. 2562 10:26 น. หลังจากนำจ่ายสำเร็จ ก็ปล่อยให้เค้าเช็คเอกสารสักพัก ก็โทรถามอีกสักทีว่าเอกสารติดขัดอะไรหรือไม่ เจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ ตอบได้เพียงว่า ต้องใช้เวลาอีก 15 วันในการพิจารณาเอกสาร แต่ตอบไม่ได้ว่าอยู่ในขั้นตอนไหน แต่เป็นที่น่าแปลกใจ หลังจากโทรติดตามตอนสายก็ได้รับข้อความตอนเย็นว่าได้รับเอกสารแล้ว ??? ได้รับเอกสารหลังจากโทรตามเมื่อ 18 พ.ย. 2562 10:26 น. แล้วตั้งแต่ที่รับเอกสารไปตั้งแต่ 13 พ.ย. 2562 15:22 คืออะไร? 20 พ.ย. 2562 เริ่มทำกายภาพวันแรกตอนเย็น หลังจากทำกายภาพเสร็จก็มีสายโทรเข้าจากประกัน สอบถามรายละเอียดใบสรุปปะหน้าที่ฉันทำให้ไปว่าตัวเลขไม่ตรงกับที่เค้าคิด นอกจากนั้นน้องสาวฉันก็ได้บอกว่าประกันโทรมาสอบถามเหตุการณ์เช่นกัน เพราะฉันใส่ชื่อน้องเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ 25 พ.ย. 2562 เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก (ช่วงนี้จะไวกว่าช่วงแรกอีก) จากประสบการณ์บอกเราว่าถ้าเราไม่โทรตามจะไม่ได้รับความคืบหน้า ก็ต้องโทรตามอีกครั้ง โทรไปเจ้าหน้าที่บอกจะให้พนักงานประกันโทรกลับ เมื่อพนักงานโทรมาก็แจ้งว่าการเคลมของเราได้รับการอนุมัติแล้วเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2562 (อืม...ก่อนเราโทรหนึ่งวัน) และจะได้รับการโอนเงินภายใน 10 วัน เลยถามว่าสามารถเร่งได้เร็วกว่านี้ไหม เค้าก็แจ้งว่าเป็นเวลาที่บอกเผื่อไว้ ปกติจะไม่ถึง นี่ถ้าตามขั้นตอนจริงๆที่เค้าเผื่อไว้ตั้งแต่พิจารณาเอกสาร 15วัน โอนเงินอีก 10วัน วันทำการด้วยนะ ใครที่เป็นเงินเย็นก็ใจเย็นได้ แต่หากใครกู้เงินมารักษานี่ คงต้องลุ้นกันหน่อยล่ะ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่เหตุการณ์ของฉันนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่เพิ่งตัดรอบบัตรเครดิตไปหมาดๆ เลยยังอยู่ในช่วงเวลาปลอดดอกเบี้ยอยู่ หากเจอช่วงรักษาเสร็จแล้วตัดรอบเลยนี่คงโดนดอกเบี้ยบานแน่ๆ สรุปข้อดี ข้อเสียของการทำประกันเดินทางนะคะ คือ เบิกได้เต็มจำนวน และมีระยะเวลาการรักษาให้เพิ่มอีก 7 วัน หากเทียบประกันสุขภาพแล้ว จะไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน แต่อาจจะเบิกไม่ได้เต็มจำนวน อย่างเช่นพวกอุปกรณ์พยุงตัว อาจจะเบิกไม่ได้ แต่หากสำรองจ่ายไปก่อน แล้วเบิกทีหลัง อย่างประกันเดินทางนี้ อุปกรณ์เหล่านี้เบิกได้ค่ะ แต่ต้องแลกกับการต้องมีเงินมาสำรองจ่ายนะคะ และวงเงินประกันส่วนมากก็จะเป็นวงเงินที่สูง เนื่องจากอาจจะต้องรักษาต่างประเทศ แต่หากกลับมารักษาประเทศไทยได้ ก็รักษาประเทศไทยจะดีกว่า ต้องออกแรงในการทวงถามเฉกเช่นเจ้าหนี้ ที่ต้องทวงหนี้ไปจ่ายเจ้าหนี้อีกรายนั่นเอง รายการที่ต้องรักษาต่อหลังจากผ่าน 7 วันไปแล้วก็ต้องหาทางมาจ่ายเองค่ะ มีประกันสุขภาพก็ไม่สามารถเบิกได้เพราะเราไม่ได้เบิกอุบัติเหตุกะเค้าตั้งแต่ 24 ชั่วโมงแรกหลังจากเกิดเหตุ คิดแล้วก็น่าน้อยใจ จ่ายเบี้ยแพงแต่ก็เบิกไม่ได้สักบาท ตอนให้เราทำประกันก็พูดดีแสนดี แต่พอเบิกก็เงื่อนไขดอกจันทร์มากมาย มันก็คือธุรกิจนะ หากคนเบิกเยอะ ธุรกิจก็อยู่ไม่ได้ จะย้ายตอนนี้ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนทำประกัน ก็จะไม่คุ้มครองอีก ความเสี่ยงเราควบคุมให้เป็นศูนย์ไม่ได้ ดังนั้นเราต้องมาพิจารณาว่าเรารับได้เพียงใด จ่ายเบี้ยประกันเท่าใดที่ไม่เดือดร้อน เพราะนั่นคือสิ่งที่อาจจะต้องจ่ายไปแล้วไม่ได้ใช้เลยก็ได้ แต่ถ้าต้องใช้แล้วมันก็ควรจะคุ้มครองเราไม่ให้เดือดร้อนด้านการเงินด้วยเช่นกัน อย่างน้อยควรสามารถบรรเทาความเดือดร้อนได้บ้าง และคนส่วนมากที่ทำประกันก็ไม่รู้หรอกว่าที่เราทำประกันไปนั้นมันเพียงพอหรือไม่ เพราะไม่เคยเกิดเหตุเลยประเมินไม่ถูก ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดกับชีวิตเรานั้นคือประสบการณ์ที่สะสมไว้ใช้ในการตัดสินใจที่จะเลือก หรือไม่เลือกทำอะไร ด้วยต้นทุนชีวิตของเรา ซึ่งแต่ละคนนั้นมีไม่เท่ากันอย่างแน่นอน *ภาพประกอบโดยผู้เขียน