คนสมัยก่อนเชื่อว่าคนท้องหากหน้าขาวใสเนียนสวยมักจะได้ลูกสาว แต่หากหน้าตาหมองคล้ำไม่สวยจะได้ลูกผู้ชายซึ่งเป็นความเชื่อส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นแค่วิธีการเสี่ยงทายลูกในท้องเท่านั้นว่าจะเป็นเพศอะไร เพราะในความเปลี่ยนแปลงของผิวหน้าและผิวกายของคนท้องนั้นเกิดขึ้นจากระดับฮอร์โมนภายในร่างกายที่เพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างการตั้งท้อง ซึ่งอาจจะส่งผลให้คนท้องดูผิวใสสวยงามขึ้นหรืออาจจะทำให้ดูผิวหมองคล้ำไม่สดใส เพราะว่าจากประสบการณ์ของเราในช่วงระหว่างการตั้งท้องเราหน้าเนียนขาวใสมาก แต่เราได้ลูกผู้ชายทุกคนรอบข้างต่างทายว่าเราจะได้ลูกสาว แต่เมื่ออัลตร้าซาวด์แล้วได้ลูกชาย 100% ซึ่งเราเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ท้องลูกชายคนแรกแล้ว ในระหว่างที่เราตั้งท้องระดับฮอร์โมนในร่างกายจะมีระดับเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งแน่นอนว่าหากระดับฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้นก็จะส่งผลต่อร่างกายภายนอกอย่างเห็นได้ชัด คนที่ผิวขาวใสในช่วงท้องแรก ๆ ก็ใช่ว่าพอท้องเริ่มโตแล้วจะไม่ประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องผิว เพราะยิ่งพอท้องโตเท่าไหร่ปัญหาผิวก็จะตามาทั้งหน้าท้องเริ่มแตกลาย ตามข้อพับหรือขาหนีบเริ่มดำ หลายคนเป็นกังวลมากกับเรื่องเหล่านี้ พยายามที่จะหาวิธีแก้ไขซึ่งการป้องกันไม่ให้หน้าท้องแตกลายอาจจะเริ่มต้นใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันการแตกลายที่คนท้องสามารถใช้งานได้ตั้งแต่ที่เริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าตั้งท้อง แต่สำหรับกรณีที่ตามข้อพับหรือขาหนีบเริ่มดำนั้นยังไม่สามารถแก้ไขใด ๆ ได้เพราะต้องรอคลอดก่อน และตามข้อพับกับขาหนีบจะเริ่มหายดำไปเอง ในส่วนของผิวหน้าเช่นเดียวกันหากช่วงตั้งท้องมีสิวหรือใบหน้าหมองคล้ำ การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงอาจะไม่ได้ผลและผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจส่งเป็นอันตรายต่อแม่และเด็กได้ หากต้องการบำรุงผิวหน้าช่วงที่ตั้งท้องควรศึกษาให้ดีก่อนเลือกซื้อมาใช้งาน พยายามหาผลิตภัณฑ์ที่คนท้องสามารถใช้งานได้มาใช้เท่านั้นไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่แรงเกินไปในการดูแลผิวหน้า เพราะว่ามันแค่ช่วยบรรเทาแต่ยังไม่หายจนกว่าที่เราจะคลอดลูกออกมา ปัญหาผิวหน้าและผิวกายก็จะค่อย ๆ จางหายไปเอง ดังนั้นคุณแม่ตั้งท้องต้องใจเย็นและพยายามรับสภาพตัวเองให้ได้ในระหว่างการตั้งท้องเพราะแน่นอนว่าร่างกายเรามันต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ดังนั้นจากที่เราหาข้อมูลและสอบถามหมอที่เราฝากท้องมาก็สรุปได้ว่า สภาพผิวหน้าของคุณแม่ตั้งท้องไม่สามารถบ่งบอกได้ 100% ว่าลูกในท้องคือเพศอะไร การบอกเพศลูกที่ดีที่สุดและได้ผลเกือบ 100% ก็คือการอัลตร้าซาวด์เท่านั้นซึ่งคุณแม่ตั้งท้องจะทราบเพศของลูกเมื่อท้องเข้าเดือนที่ 4 ดังนั้นคุณแม่ตั้งท้องควรใจเย็นและรอลุ้นตอนอัลตร้าซาวด์ดีกว่าว่าลูกในท้องคือเพศอะไร เพราะการไปเดาเอาเองว่าลูกคือเพศไหนและปักใจเชื่อตามที่ตนเองเข้าใจเมื่ออัลตร้าซาวด์ออกมาแล้วลูกในท้องไม่ได้เป็นเพศที่คุณแม่ตั้งท้องคิดไว้อาจจะทำให้คุณแม่ตั้งท้อง สามี หรือคนในครอบครัวที่เชื่อแบบเดียวกันไปแล้วผิดหวังได้ค่ะ และสุดท้ายเรามองว่าเรื่องเพศของลูกในท้องไม่ได้สำคัญอะไรมากเพราะเราหวังแค่ให้ลูกเราสมบูรณ์แข็งแรงก็เพียงพอแล้วต่อให้เขาจะเป็นเพศอะไรก็รักเหมือนเดิมค่ะ เครดิตภาพจาก Pixabay.com ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3