อาการโรคเบาหวานระยะแรกในผู้ชายภัยเงียบที่หลายคนไม่คาดคิดสวัสดีค่ะคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกคน มาเจอกันอีกแล้วนะคะกับบทความใหม่ที่ขอเอาใจคนที่คอยติดตามอ่านบทความเกี่ยวกับสุขภาพกันอีกรอบค่ะ โดยบทความนี้เราจะมาพูดถึงอาการโรคเบาหวานระยะแรกในผู้ชาย ทำไมต้องเป็นผู้ชาย?! ก่อนจะไปลงลึกในรายละเอียดนั้นขอขยายความประเด็นนี้ก่อนนะคะ โดยธรรมชาติของเพศชายมักไม่แสดงออกโดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยที่ผู้ชายมักคิดว่าเป็นการแสดงถึงความอ่อนแอในตัวเอง ซึ่งในสังคมวิทยาทางการแพทย์ระบุว่าเพศชายเป็นเพศที่หลีกเลี่ยงการเข้าถึงบริการทางการแพทย์เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่เป็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็มักจะไปหาหมอ พอเป็นแบบนี้จึงทำให้ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงที่จะพบโรคบางโรคได้ ที่พอมีอาการและอาการแสดงแล้วผู้ชายจะเพิกเฉยได้ง่ายกว่าผู้หญิง และกลายเป็นจุดอ่อนทำให้ผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคๆ หนึ่งแบบไม่คาดคิด! ซึ่งถ้าผู้ชายตระหนักถึงประเด็นนี้จะทำให้ผู้ชายหันมาเอาใจใส่ตัวเองด้านสุขภาพมากขึ้นจนทำให้สามารถล่วงรู้และหาแนวทางป้องกันสิ่งต่างๆ ที่จะมาคุกคามภาวะสุขภาพของผู้ชายได้ค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้จะจำเพาะเจาะจงสำหรับผู้ชายเท่านั้น เพราะถ้าอ่านให้จบและทำความเข้าใจดีๆ นั้น จะพบว่ายังมีข้อมูลบางส่วนที่คนทั่วไปทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถนำไปปรับใช้ได้ค่ะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้มากทั้งเพศหญิงและเพศชาย ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นโรคติดต่อแต่โรคเบาหวานก็สามารถพบได้จำนวนหลายคนภายใต้บ้านหลังคาเดียวกัน เพราะส่วนหนึ่งนั้นโรคเบาหวานเป็นโรคทางพันธุกรรม และที่โรคเบาหวานเองสามารถพบได้ในบ้านเดียวกันเพราะการอยู่การกินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันค่ะ จากสถานการณ์นี้จึงไปสนับสนุนให้คนในบ้านมีภาวะสุขภาพไปในทิศทางเดียวกันค่ะ จึงทำให้คนทั้งบ้านกลายเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเบาหวานไปโดยปริยาย จากข้อมูลนี้จึงทำให้ผู้เขียนอยากส่งต่ออาการของโรคเบาหวานในระยะแรกในเพศชายทิ้งไว้ในบทความนี้ค่ะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะมีโอกาสได้พบว่าคนที่รู้จักกันเป็นเบาหวานนั้น มีต้นสายปลายเหตูของการเป็นโรคเบาหวานที่ค่อนข้างชัดเจนค่ะ ยังไงคุณผู้อ่านลองอ่านให้จบค่ะ เพราะผู้เขียนเชื่อว่าข้อมูลในบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านแน่นอน อย่างน้อยจะได้เอาข้อมูลในบทความนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันและตรวจสอบว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานไหม? รู้ก่อนแย่ ดีกว่าแย่แล้วแก้ไม่ทันค่ะ!เรื่องมีอยู่ว่าคนใกล้ตัว สมมติว่าชื่อ สมชาย แล้วกันนะคะจะได้เข้าใจง่ายขึ้น พี่สมชายปกติพี่แกจะเป็นคนกินเยอะๆ มากเมื่อเทียบกับผู้เขียนค่ะ โดยพี่แกเป็นคนตัวใหญ่ ตอนที่พบว่ามีอาการของโรคเบาหวานนั้นก็มีน้ำหนักราวๆ 90 กิโลกรัมค่ะ มีไขมันที่หน้าท้อง คือตัวใหญ่มากเมื่อเทียบกับผู้เขียนที่มีน้ำหนักเพียง 45 กิโลกรัมค่ะ ในระหว่างที่ไปทำงานต่างจังหวัดหรือเดินทางไปประชุมหรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับอาหารว่าง พี่สมชายดื่มกาแฟตลอดทั้งเช้าและบ่าย กาแฟเต็มคาราเบลค่ะ เติมน้ำตาลทรายประมาณ 1-2 ช้อนชา และขนมอื่นๆ พี่แกจัดเรียบตลอด เมื่อเทียบกับผู้เขียนซึ่งไม่ดื่มกาแฟเลยเป็นส่วนใหญ่ อาหารว่างถ้าหวานมากจะกินเพียงนิดเดียวค่ะ หลักๆ เป็นน้ำเปล่า ถ้าอากาศร้อนก็จะเป็นน้ำเย็นค่ะในบางวันที่มีโอกาสได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวพี่สมชายแกเติมน้ำตาลเยอะมากค่ะ ประมาณ 3-4 ช้อนชาตลอด หนักไปกว่านั้นคือถ้าร้านไหนใส่ช้อนโต๊ะเอาไว้พี่แกก็เติมน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะตลอดอีกเช่นกันค่ะ ต่อให้ไปกินพิซซ่าพี่แกก็จะกินมากกว่าคนอื่นเขา จนอยู่มาวันหนึ่งผู้เขียนอดไม่ได้เลยพูดขึ้นว่า "เติมน้ำตาลทรายขนาดนั้นเดี๋ยวก็เป็นเบาหวานหรอก" ซึ่งก็พูดไปตามประสาคนเป็นห่วงค่ะ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ค่ะ เพราะพบว่าพี่สมชายเป็นเบาหวานจริงๆ โดยก่อนที่จะไปตรวจเพื่อยืนยันว่าเป็นเบาหวานนั้น ผู้เขียนพบว่าพี่สมชายมีมดมาตอมปัสสาวะ จากสถานการณ์นี้เพียงสถานการณ์เดียวทำให้ผู้เขียนสรุปเลยว่า พี่สมชายมีอาการของโรคเบาหวานในระยะแรก และจากจุดนี้เองค่ะที่ผู้เขียนได้ทำการตรวจสอบปริมาณของน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดที่ปลายนิ้วพี่สมชายด้วยตัวเองที่บ้าน ที่เป็นการตรวจหลังจากได้งดน้ำและอาหารอย่างน้อยเป็นเวลา 8 ชั่วโมง ด้วยเครื่องตรวจ DTX และพบว่า พี่สมชายมีระดับน้ำตาลในเลือด มากถึง 240 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร!ถึงขนาดนั้นพี่สมชายเองก็ยังมองว่าตัวเองไม่เป็นอะไร เพราะพี่สมชายบอกว่าการจะระบุว่าคนๆ หนึ่งเป็นเบาหวานได้นั้นจะต้องระบุด้วยคนที่เรียกว่าหมอเท่านั้นค่ะ แต่ในความเป็นจริง คือ อาการแสดงในระยะแรกก็สามารถบ่งชี้ได้แล้วว่าคนๆ หนึ่งเกี่ยวพันกับการเป็นเบาหวานค่ะ เช่น มีมดตอมปัสสาวะ ตรวจพบค่า DTX เกินกว่า 120 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรค่ะ เนื่องจากว่าผู้เขียนมีเครื่องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่บ้านจึงสามารถรู้ค่านี้ได้ก่อนที่จะไปโรงพยาบาล สำหรับคนทั่วไปสามารถตรวจเองได้ค่ะเพราะไม่ได้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนอะไรมาก หลังจากพบว่ามีค่า DTX สูง ผู้เขียนจึงได้พาพี่สมชายไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเพื่อทำการเจาะเลือดและตรวจสอบค่าต่างๆ ทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยโรคเบาหวาน โดยในวันนั้น พบว่า ค่า FBS เกินมาตรฐานสูงมาก จนหมอเองยังตกใจว่าทำไมพี่สมชายยังใช้ชีวิตอยู่ได้ นอกจากนี้พี่สมชายยังมีไขมันเกิน คอเลสเตอรอลเกิน และจนแล้วจนรอดในวันนั้นเองหมอก็ได้วินิจฉัยว่า พี่สมชายเป็นเบาหวานค่ะต่อจากนั้นได้ไปทำการรักษาและรับยาที่โรงพยาบาลของรัฐประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง โดยหมอคาดการณ์ว่าการที่มีอาการแสดงของโรคเบาหวานส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการมีไขมันในร่างกายมากเกินไป และหมอต้องการตรวจดูการพอกไขมันที่ตับเพื่อทำการรักษาและป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้นตามมา เช่น ตับวาย ตับอักเสบค่ะ พี่สมชายก็ทำการตรวจค่ะและพบว่ามีไขมันพอกที่ตับด้วยจริงๆ ในระหว่างนั้นหมอได้แนะนำให้ออกกำลังกายชนิดที่สามารถเพิ่มการเผาผลาญไขมันสูง เช่น ว่ายน้ำหรือปั่นจักรยาน และหมอแนะนำเพิ่มเติมในส่วนของการลดการกินอาหารที่มีไขมันลง พี่สมชายก็ทำตามที่หมอแนะนำโดยเลือกที่จะปั่นจักรยาน และจัดตารางเรื่องการอยู่การกินใหม่ควบคู่ไปด้วย โดยในช่วงแรกหมอไม่ได้ให้ยาเพื่อทำการรักษาภาวะเบาหวานค่ะ แต่หมอโฟกัสไปที่การลดไขมันด้วยวิธีการตามธรรมชาติค่ะ จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนขอสรุปสั้นๆ แบบนี้ค่ะ ในบางครั้งการที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงในระยะยาวมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน โดยเบื้องต้นเราสามารถสังเกตอาการแสดงได้ด้วยตัวเองง่ายๆ เช่น มีมดตอมปัสสาวะค่ะ น้ำตาลในปัสสาวะคือน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายขับทิ้ง พูดง่ายๆ คือ มีน้ำตาลในกระแสเลือดเยอะมากจนสามารถเล็ดลอดออกมาทางปัสสาวะได้ และส่วนหนึ่งร่างกายพยายามปรับสมดุลด้วยตัวมันเอง จึงทำให้หลายๆ ครั้งพี่สมชายไม่พบว่าตัวเองมีอาการผิดปกติอย่างอื่นจากการที่มีภาวะโรคเบาหวาน แต่อย่าชะล่าใจค่ะ!เพราะที่ร่างกายปรับสมดุลนั้นร่างกายปรับไปอยู่ในภาวะใหม่และทำให้คุ้นเคย เราจึงพบว่า ต่อให้มีระดับ DTX สูงถึง 240 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร พี่สมชายก็ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งในทางตรงกันข้าม DTX สูงขนาดนี้ในบางคนคือช็อกไปแล้วเรียบร้อยค่ะดังนั้นต่อให้มีอาการแสดงของโรคเบาหวานในระยะแรก ก็มีความจำเป็นต้องค้นหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อนำมาประกอบการดูแลสุขภาพของตัวเองค่ะ ถ้าคุณผู้อ่านลองมองย้อนกลับไปที่ข้อมูลที่ผู้เขียนได้เล่ามาของพี่สมชายกับผู้เขียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมด้านสุขภาพ อาหารการกินและอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ทำให้พี่สมชายกลายเป็นโรคเบาหวานได้ ในขณะที่ผู้เขียนมีภาวะสุขภาพปกติ น้ำหนักตัวปกติ มีไขมันปกติ ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ จึงอาจกล่าวได้ว่า ปัจจัยชักนำที่ทำให้เกิดเบาหวานส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของพฤติกรรมด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับอาหารการกิน เพราะ "การกินน้ำตาลทุกวันไม่ได้ทำให้เป็นเบาหวานนะคะ แต่การกินน้ำตาลเกินทุกวันมีส่วนทำให้เร่งกระบวนการเสื่อมตามธรรมชาติเร็วกว่าปกติ จึงสามารถเป็นโรคเบาหวานได้และบางคนยังพบว่าสามารถเป็นเบาหวานได้ตั้งแต่อายุยังน้อยค่ะ" และทั้งหมดคือประสบการณ์ที่ผู้เขียนอยากส่งต่อค่ะ เนื่องจากว่าปัจจุบันผู้คนหันมาติดการกินหวานมากขึ้นและอาหารการกินส่วนใหญ่ต่างพากันเติมน้ำตาลมากขึ้น จึงเป็นจุดอ่อนที่อาจทำให้หลายคนไม่คาดคิดว่าตัวเองจะสามารถเป็นเบาหวานได้ค่ะ ดังนั้นที่ดีที่สุดคือเราควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานเอาไว้ อย่างน้อยก็จะได้เอามาปรับใช้กับคนในครอบครัวก่อนค่ะ ปกติผู้เขียนจำกัดการเติมน้ำตาลในอาหารค่ะ และถ้าหากว่าอาหารนั้นไม่ได้ทำเองแล้วหวานมากก็จะจำกัดการกินค่ะ และพยายามควบคุมดูแลเรื่องน้ำหนักตัวตลอดเวลาค่ะ เพราะที่เรารู้ๆ กันมานั้นไขมันเป็นตัวขัดขวางการดึงเอาน้ำตาลในกระแสเลือดมาใช้ค่ะ หากวันไหนผู้เขียนกินอาหารที่มีไขมันสูงก็จะเพิ่มการเผาผลาญไขมันด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งค่ะ เช่น ออกกำลังกาย เพิ่มกิจกรรมในระหว่างวัน เป็นต้น สุขภาพดีไม่มีขายถ้าอยากได้ต้องสร้างเองค่ะ ต่อให้ผู้ชายคนไหนเจอว่าตัวเองมีอาการของโรคเบาหวานในระยะแรกแล้วก็ตาม ก็ยังสามารถหันมาดูแลสุขภาพให้สอดคล้องกับภาวะสุขภาพ ณ ตอนนั้นได้ค่ะเครดิตภาพประกอบบทความโดย: ผู้เขียนภาพหน้าปก โดย Artem Podrez จาก Pexelsออกแบบภาพหน้าปกใน Canvaภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 โดย Leah Kelley จาก Pexels, ภาพที่ 2 โดย Towfiqu barbhuiya จาก Pexels, ภาพที่ 3 โดย PhotoMIX Company จาก Pexels, ภาพที่ 4 โดย Los Muertos Crew จาก Pexelsบทความอื่นที่น่าสนใจ🔴8 ผลไม้สำหรับคนเป็นเบาหวาน กับปริมาณที่สามารถทานได้ อ่านเลย👌น้ำตาลตามธรรมชาติในผลไม้ มีอะไรบ้าง เป็นเบาหวานต้องรู้ อ่านเลย✳️8 วิธีลดน้ำตาลในเลือดแบบธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ยา อ่านเลย✅อัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !