อื่นๆ

รีวิว The End of the F***ing World season 2 เพิ่มความสนุก ความวายป่วง ที่น่าติดตามยิ่งกว่าเดิม แต่ความแปลกใหม่กลับลดลง

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
รีวิว The End of the F***ing World season 2  เพิ่มความสนุก ความวายป่วง ที่น่าติดตามยิ่งกว่าเดิม แต่ความแปลกใหม่กลับลดลง

หลังจากที่เว้นช่วงจากซีซั่นแรกมาร่วมสองปี ซีรีส์สุดติสท์แตกของ Netflix อย่าง The End of the F***ing World ก็กลับมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย (เพราะซีรีส์ประกาศวันฉายหลังจากปล่อยตัวอย่างเพียงไม่ถึงเดือนดี) ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ ก็ยังจัดเต็มความติสท์ ความตลกร้ายหน้าตาย และความวายป่วงที่มากกว่าเดิม

ในซีซั่นนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์หลังจากซีซั่นแรก เมื่อ เจมส์(อเล็ก ลอว์เธอร์) ได้ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส และด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขาไม่สามารถกลับมาเจอกับ อลิซซา(เจสซิก้า บาร์เดน) ได้อีกครั้ง ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน จนกระทั่ง อลิซซา ได้ตัดสินใจแต่งงานอย่างสายฟ้าแลบ กับหนุ่มอีกคนที่เธอคบหา ส่วน เจมส์ ก็สูญเสียพ่อด้วยอาการหัวใจวาย ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่ในรถ ไร้ซึ่งจุดหมาย ก่อนที่เขาจะตัดสินใจกลับมาหา อลิซซา อีกครั้ง โดยทั้งคู่หารู้ไม่ว่า กำลังมีคนจ้องเอาชีวิตพวกเขาทั้งคู่อยู่

Advertisement

Advertisement

https://www.imdb.com/title/tt6257970/mediaviewer/rm1088391425ซีรีส์ยังคงสไตล์ คงคอนเซ็ปต์ แบบเดียวกับซีซั่นแรก คือการเล่าเรื่องผ่านบรรดาตัวละครที่มีปมปัญหากับชีวิต และสังคมรอบข้าง พร้อมกับการนำเสนอเรื่องราวสุดวายป่วง ที่ค่อยไล่ระดับมากยิ่งขึ้น โดยในซีซั่นนี้ได้เพิ่มตัวละครใหม่อย่าง บอนนี่(นาโอมิ แอคกี้) ที่คาแรคเตอร์ไม่ต่างจาก สองตัวละครเอกของเรามากนัก เพียงแต่เธอนั้นมีความแค้น ที่เป็นจุดหมายสำคัญ ตัวละครนี้ถือว่าเป็นตัวสร้างสีสันสำคัญของเรื่อง เพราะเป็นตัวละครที่ทำให้เกิดเรื่องราวในซีซั่นสอง ทั้งหมด

https://www.imdb.com/title/tt6257970/mediaviewer/rm1340049665ในซีซั่นนี้ ซีรีส์ได้สร้างความวายป่วง และความบันเทิงแบบจัดเต็ม ด้วยการที่แต่ละตอนนั้น จะมีสถานการณ์พลิกผันตลอดเวลา นอกจากนี้ ซีรีส์ยังได้เตรียมเสิร์ฟ สารพัดความซวยใส่ตัวละครมาแบบไม่ยั้ง พร้อมทั้งมีการเล่าเรื่องที่กระชับในเวลาเพียง 20 นาทีต่อ Ep. เท่านั้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้เองที่ทำให้พอดูแล้วทำให้เรารู้สึกอยากที่จะดูตอนต่อๆ ไปต่อทันที จนเราสามารถดูทั้งซีซั่นในรวดเดียวจบได้แบบที่ไม่ต้องอดหลับอดนอนเหมือนซีรีส์เรื่องอื่นๆ 

Advertisement

Advertisement

นอกจากนี้ในซีซั่นนี้เราจะได้เห็นพัฒนาการของสองตัวละครอย่าง เจมส์ และอลิซซ่า ที่ต่างพบเจอกับปัญหาข่วงชีวิตที่ต่างออกไป ในครั้งนี้ทั้งคู่ต้องพบเจอกับบทพิสูจน์ความรักของพวกเขา ว่าจะสามารถกลับมามีความรู้สึกดีๆ ให้กันได้ไหม มองรวมๆ แล้วในซีซั่นนี้ได้เปลี่ยนจากความเป็น Coming-of-Age เป็นความโรแมนติก ดราม่า มาแทนที่ก็ว่าได้

https://www.imdb.com/title/tt6257970/mediaviewer/rm2690682369อย่างไรก็ตามความแปลกใหม่ ความสร้างสรรค์ และมิติตัวละครในซีซั่นนี้กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะในซีซั่นนี้ นอกเหนือจากการนำเสนอเรื่องความบันเทิง ความน่าติดตาม และความวายป่วงแล้ว ในด้านอื่นๆ ของซีรีส์กลับไปไม่สุดเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของ เจมส์ และอลิซซา ในตลอดซีซั่นที่แทบจะไม่เดินหน้าเลย เราจะพบกับอารมณ์ของความพ่อแง่ แม่งอน ตลอดทั้งเรื่อง ในขณะที่ตัวละครใหม่อย่างบอนนี่ ก็แทบไม่มีอะไรให้เรารู้สึกน่าจดจำ นอกจากความแค้นอาฆาต และมีบทเพียงเพื่อเป็นวายร้ายธรรมดาๆ เท่านั้น

Advertisement

Advertisement

โดยรวมแล้ว The End of the F***ing World season 2 ถือว่าเป็นซีรีส์ที่ยังสามารถรักษาความเป็นตัวเองจากในซีซั่นแรกได้อย่างยอดเยี่ยม ซีรีส์จัดเต็มด้วยความบันเทิงยิ่งกว่าเดิม วายป่วงกว่าเดิม แม้ว่าจะความแปลกใหม่จะหายไปพอสมควร แต่ก็ถือว่าเป็นซีรีส์ที่เต็มเติมเรื่องราวบทสรุปจากในซีซั่นแรกได้ดีไม่น้อย 

ขอขอบคุณรูปภาพจากเว็ปไซต์ https://www.imdb.com/

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์