" ไวรัสตับอักเสบบี " โรคนี้หลาย ๆ คน เคยได้ยินกันมานาน บางคนคิดว่าโรคนี้ห่างไกลตัวเรามาก คงยากที่จะเป็น แต่ใครจะรู้ว่าวันนึง เราได้ตรวจสุขภาพประจำปีของที่ทำงาน ผลตรวจเลือด HBsAg เป็นค่า " POSITIVE" มันคืออะไร เราเป็นโรคนี้ได้อย่างไร ติดโรคนี้ตอนไหน ในหัวของเราคิดอย่างนั้นจริง ๆ แต่จะให้มั่นใจยิ่งขึ้น เราเลยไปตรวจติดตามโรคนี้ใหม่จากโรงพยาบาล คุณหมอเจาะเลือดตรวจ ผลออกมาว่าเราเป็นแน่นอน แต่ว่าเราไม่มี อาการตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นไข้ แล้วเราเป็นได้อย่างไร ภาพจาก www.freepik.com ในครั้งแรกที่ไปตรวจ คุณหมอไม่ได้ให้ทานยา แต่คุณหมอให้เรางดกินอาหารมักดอง พริกแห้ง ถั่วลิสงป่น ซึ่งอาจจะมีเชื้ออัลฟาทอกซิน เชื้อนี้จะทำให้ตับยิ่งอักเสบมากขึ้น เรายอมทำตามแต่โดยดี คุณหมอบอกให้เราระวังเรื่องอาหารการกิน โดยพยายามอย่าทานอาหารทอด อาหารดอง อาหารที่อาจใส่ดินประสิว เช่น ไส้กรอก เบคอน เนื้อเค็ม ปลาเค็ม ของหมักดอง แหนม อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ปลาร้า ( ของโปรด ส้มตำปลาร้า ทรมานจิตใจมากกินไม่ได้..) เวลารับประทานอาหารกับคนอื่นควรใช้ช้อนกลางทุกครั้ง เพื่อป้องกันเชื้อของเราไปติดคนอื่น และป้องกันเรารับเชื้อโรคอื่น ๆ เพิ่มเข้ามาในร่างกายของเราด้วย ในการนัดตรวจครั้งที่ 2 คือ 1 เดือนถัดไปจากครั้งแรก ซึ่งเราก็ยังคงต้องถูกเจาะเลือดอีกเหมือนเดิม ( เริ่มชินแล้ว ไม่กลัวการเจาะเลือดแล้วสิ ฮ่า ฮ่า) ผลที่ออกมาค่าตับของเราไม่อักเสบ ดีใจสิคะ แต่เราก็ยังควบคุมเรื่องการรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัดตลอด เพื่อสุขภาพของเราเอง แต่ในครั้งนี้คุณหมออธิบายว่า โรคไวรัสตับอักเสบบี มี 2 แบบ คือ แบบเรื้อรัง เป็นมานานมากกว่า 6 เดือน ซึ่งจะกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้ และแบบฉับพลัน ไม่เกิน 6 เดือน ซึ่งจะให้หายได้เองภายใน 3-4 เดือน แต่คุณหมอก็ยังบอกเราไม่ได้ว่าเราเป็นแบบไหนกันแน่ ภาพจาก www.freepik.com ในการนัดครั้งที่ 3 ห่างจากครั้งที่ 2 อีก 2 เดือน ครั้งนี้คุณหมอให้เรางดน้ำ งดอาหาร ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของคืนวันก่อนตรวจ เพื่อจะอัลตร้าซาวน์ตับ พอเราไปถึงโรงพยาบาลก็ต้องถูกเจาะเลือดเหมือนเดิม แต่คราวนี้เราต้องเปลี่ยนชุดด้วยสิ เพื่ออัลตร้าซาวน์ตับ คุณหมอใช้เจลเย็น ๆ ทาบริเวณท้องของเรา แล้วใช้อุปกรณ์กดที่ท้องตรวจวนไปวนมาประมาณ 10-15 นาที แล้วคุณหมอที่ซาวน์บอกว่า ตับของเราปกตินะ ดีใจมาก ตับปกติ พอเสร็จจากอัลตร้าซาวน์ คุณหมอบอกว่า เราน่าจะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง แบบไม่มีตับอักเสบส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะทราบได้จากการตรวจเลือดโดยแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับจะตรวจหาส่วนประกอบของเชื้อหรือตรวจนับจำนวนเชื้อโดยตรง ซึ่งสรุปว่า เราเป็น " พาหะ" น่าจะเป็นตั้งแต่เกิด หรือเรียกง่าย ๆ ว่า คุณแม่มอบให้เป็นของขวัญตั้งแต่เกิดเลยล่ะ แต่ก่อนคนไทยยังไม่รู้จักโรคนี้เท่าไหร่ จึงไม่ได้มีการตรวจหรือป้องกันก่อนการแต่งงานหรือการมีลูก เราคิดว่ายังมีอีกหลาย ๆ คน ที่อาจยังไม่รู้ตัวด้วยว่ามีโรคนี้อยู่ในร่างกายตัวเอง ซึ่งการถ่ายทอดจากมารดาสู่บุตร เป็นสาเหตุหลัก แต่ในปัจจุบันการถ่ายทอดจากมารดาที่ติดเชื้อสู่บุตรลดลงมาก เพราะบุตรที่คลอดออกมาจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อสามารถป้องกันได้เกือบ100เปอร์เซ็นต์ ภาพจาก www.freepik.com คราวต่อไป คุณหมอนัดเจอกันอีก 6 เดือนข้างหน้า เป็นการนัดตรวจติดตามเป็นระยะ ๆ ว่าตับเป็นอย่างไร ไม่มียาให้ทานนะคะ แต่เราก็ต้องดูแลร่างกาย ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ ระวังเรื่องอาหารการกิน ที่สำคัญมาก ๆ คือ ต้องงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมถึงการสูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าร่างกายเราแข็งแรง ตับเราก็แข็งแรง โรคนี้ถ้าเป็นแล้วไม่หายนะคะ ส่วนใครที่ยังไม่เป็นหรือใครที่ไม่แน่ใจ อยากให้ลองไปตรวจร่างกายดูค่ะ ถ้าผลออกมายังไม่เป็น เราสามารถฉีดยาเพื่อเป็นภูมิป้องกันได้ค่ะ โดยวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ต้องฉีด 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ต้องฉีดห่างจากเข็มที่ 1 เป็นเวลา 1 เดือน และเข็มที่ 3 ต้องฉีดห่างจากเข็มที่ 2 เป็นเวลา 6 เดือน ใครที่แต่งงานแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นโรคนี้หรือเป็นพาหะ ต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์ ด้วยค่ะ เชื้อไวรัสตับอักเสบบีแพร่เชื้อไปสู่ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันได้ง่ายผ่านทางเยื่อบุผิวที่สัมผัสกับเลือดที่ติดเชื้อ น้ำอสุจิและสารคัดหลั่งต่างๆ จากร่างกาย เช่น น้ำลาย จากการรับประทานอาหารร่วมกันไม่มีช้อนกลาง การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน ต้องระมัดระวังหลีกเลี่ยงอย่าใช้ร่วมกัน หากเราหลีกเลี่ยงโรคภัยไม่ได้ ก็ต้องยอมรับและอยู่ร่วมกับมันให้ได้ ต้องดูแลตัวเองให้มากเป็นพิเศษ พบหมอตามนัด "การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" จริง ๆ ค่ะ