อื่นๆ
นักรบแห่งกรุงศรีฯ

ปกติแล้วเวลาใครๆเจอผีก็คงกลัว ขวัญหาย ใจสั่น ก้าวขาไม่ออก หายใจหายคอไม่สะดวก แต่สำหรับดิฉันแล้วการเจอผีครั้งนี้กินใจที่สุด ประทับใจที่สุด ชอบที่สุด และดีที่สุด พูดว่าที่สุดเพราะในชีวิตเจอผีเยอะมาก เรียกว่าเจอเป็นประจำ เจอจนนับครั้งไม่ถ้วน จนต้องเลิกนับครั้งไปโดยปริยาย...
ย้อนกลับไปเมื่อตอนเป็นเด็ก ตอนนั้นดิฉันอายุเพียง 9 ขวบ ในช่วงปิดเทอมสมัยก่อน กิจกรรมสำหรับเด็กๆ ลูกครูบ้านนอก ก็คือการเล่นซน ปีนต้นไม้ เข้าป่า เก็บผลไม้ป่าตามประสาเด็กบ้านนอก ในปีนั้นที่โรงเรียนของแม่จัดกิจกรรมพิเศษ คือ การเข้าค่ายธรรมะ ณ วัดป่า ข้างๆโรงเรียนของแม่ ซึ่งแน่นอนว่าชื่อเสียงเด็ดมาก ขนาดเขียนๆอยู่นี่ยังขนลุกเลย....
ความเป็นเด็กน้อยติดแม่ แน่นอนว่าดิฉันต้องใส่ชุดขาวติดตามแม่พร้อมกับพี่ชายและพี่สาวไปอยู่วัดด้วย วัดไม่ใช่สถานที่ไม่คุ้นเคยสำหรับดิฉัน เพราะปกติก็เรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่วัดใกล้บ้านอยู่แล้ว แต่การที่ต้องไปอยู่วัดป่าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือนี้เป็นคนละเรื่องเลย ถึงยังไงก็ดี การตต้องนอนที่บ้านโล่งๆ ไม่มีพี่ๆ ไม่มีแม่อยู่ด้วย น่าจะวังเวงกว่า แถมการไปเข้าค่ายธรรมะครั้งนี้ยังมีพี่ๆนักเรียนมัธยมไปร่วมหลายร้อยคน ทำให้อบอุ่นใจขึ้นเยอะ สมองเด็กน้อย 9 ก็คิดดีแล้วว่า คนนอนในศาลาเป็นร้อยๆคนอะเนาะ ถ้าผีมาก็มีเพื่อนเยอะและเลย ไม่น่ากลัวหรอก.......
Advertisement
Advertisement
ในช่วงกลางวันของการเข้าค่ายธรรมะ ก็มีการเดินจงกรมในป่า ซึ่ง... เพิ่งจะมาคิดได้ตอนนี้เองว่า...เราเดินอยู่ในป่าช้าสินะ มิน่าทุกคนดูเดินกันเร็วจัง... แต่ตอนนั้นยังเด็กมาก ไม่ได้รู้จักการเดินจงกรม ไม่รู้จักอะไรทั้งนั้น เข้าทำอะไรก็ทำตามเขาไป เวลาผ่านไปด้วยความสนุกสนาน.... และรู้สึกว่า...เฮ้ย....มาเข้าค่ายธรรมะสนุกดีจังเลย.... จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืด.... กลุ่มเด็กๆ ก็เริ่มพูดคุยกันว่า กลัวไม๊ และจึงได้รู้ว่า ส่วนใหญ่มาแค่ตอนกลางวันจ้า....พอทำวัตรเย็นเสร็จก็กลับบ้านพร้อมพ่อแม่ แล้วมาใหม่ตอนเช้า เพราะไม่อยากนอนวัดกัน...... (ขนาดผู้ใหญ่ยังกลัวอะ คิดดู๊!!!) แต่ครอบครัวดิฉันไม่ค่า..... เรามีศรัทธาแรงกล้า... เราจะอยู่วัดกันค่า.....
กิจกรรมภาคค่ำก็คือการสวดมนต์นั่งสมาธิบนศาลาร่วมกัน บางคนก็นั่งจนเช้า ตามแต่ความพึงพอใจ ซึ่งศาลานี้เป็นศาลาใหญ่ มี 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับสวดมนต์นั่งสมาธิ ส่วนชั้นล่างจัดไว้สำหรับให้เป็นที่นอนและที่เก็บสัมภาระของครูและนักเรียน เมื่อท้องฟ้ามืดสนิท เพื่อนๆรุ่นเดียวกันก็กลับบ้านหมด ดิฉันจึงต้องไปนั่งสมาธิด้านบนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และด้วยความที่เป็นเด็ก จึงถูกจัดให้นั่งอยู่ไกลๆ จะได้ไม่รบกวนคนอื่นๆ ซึ่งรวมถึง แม่ของตัวเองด้วย.... ใช่ค่ะ.... ดิฉันไม่ได้อยู่ใกล้แม่เลย
Advertisement
Advertisement
การนั่งหลับตาอยู่นิ่งๆ แน่นอนว่าไม่เหมาะกับเด็กซนแบบดิฉัน แม้จะอดทนแล้วอดทนเล่า ความเบื่อก็เอาชนะทุกสิ่ง.... ดิฉันลุกขึ้นเดินเบาๆ ไปหาแม่ แล้วกระซิบกับแม่ว่า "หนูเบื่ออะแม่" แม่ก็ลืมตาขึ้นมา ท่าทางหงุดหงิด ตามประสาแม่บ้านมีลูกกวนตัว ครูคนที่อยู่ข้างๆแม่ จึงบอกให้ดิฉันลงไปนอนเล่นข้างล่างก็ได้ เพราะข้างบนนี้ทุกคนนั่งสมาธิหมด จะนอนบนนี้เลยก็กระไรอยู่ ด้วยความกลัวบาป ไม่อยากรบกวนผู้ปฏิบัติธรรม ดิฉันจึงทำใจกล้า เดินลงมาชั้นล่างแต่เพียงลำพัง...... บอกได้เลยว่ากลัวมาก.... วัดเงียบสงัดมาก
เมื่อเดินลงมายังชั้นล่าง ซึ่งเป็นห้องโถงยาว มีกระเป๋าสัมภาระต่างๆกองเรียงรายไปตามทางยาวของโถงไปตลอดทั้งสองข้าง ไฟนีออนทุกดวงถูกเปิดสว่างจ้า พื้นกระเบื้องในช่วงต้นฤดูหนาวก็เย็นเยียบ ช่วงตรงกลางๆห้องมีพี่นักเรียนหญิงนอนหนุนหมอนห่มผ้าห่ม หน้ามุ่ยอยู่ก่อนแล้วหนึ่งคน หันหน้าออกมาทางที่ดิฉันกำลังเดินเข้าไป ท่าทางพี่นักเรียนจะไม่สบาย ดิฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันทีที่มีเพื่อน จึงทิ้งตัวลงนอนห่างจากพี่นักเรียนหญิงไปประมาณ 3 - 4เมตร
Advertisement
Advertisement
เวลาแต่ละนาทีผ่านไปอย่างยากเย็น ดิฉันได้แต่นอนกลิ้งไปมาด้วยความเบื่อ และไม่มีทีท่าว่าจะนอนหลับ หันไปดูพี่นักเรียนหญิง แล้วก็หันกลับมา หันไปหันมา ลืมตาหลับตาอยู่หลายที จนกระทั่ง...... จู่ๆ ก็มีบันไดปูนสีขาวนวลปรากฏขึ้นที่กลางห้องโถง สูงขึ้นไปจนถึงเพดานศาลา ห่างจากพี่นักเรียนไปไม่ไกลนัก และปรากฏร่างชายผู้หนึ่งพนมมือที่หว่างอก ก้าวเข้าขึ้นบันไดนั้นเงียบๆ ด้วยอาการสงบ ชายผู้นั้นทำให้ดิฉันเข้าใจสิ่งที่ร่ำเรียนในตำราอย่างถ่องแท้..... ทรงผมมหาดไทย กายกำยำ โจงกระเบนสั้นสีแดงสด.... นักรบไทย.... นักรบผู้สละชีวิตในสนามรบ.... กายของเขาสีเหลืองราวกับถูกทาด้วยขมิ้น เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์และเลือดไหลเกราะกรังทั่วทั่งร่าง
"หือ..... นี่ คืออะไร?" ดิฉันถามตัวเอง พลิกตัวกลับไปอีกด้าน พร้อมกับขยี้ตาตัวเองเหมือนในละคร
"เราฝันเหรอ... เรานอนหลับไปตอนไหน?" ดิฉันคิดในใจพลางเอามือขึ้นมาหยิกแก้มตัวเอง ลอกเลียนแบบในละครอีกครั้ง
"เอ้า!....เจ็บหนิ.....ไม่ได้ฝัน" พอรู้ตัวว่าไม่ได้ฝันก็เริ่มการวิเคราะห์ขั้นต่อไป
"นี่คือ ผีเหรอ? ทำไมอลังการจัง มีบันไดด้วย แล้วผีไม่กลัวไฟเหรอ นี่เปิดไฟสว่างทุกดวงเลยนะ" ดิฉันพลิกตัวกลับมามองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอีกครั้งด้วยใจเต้นรัว การเจอผีครั้งนี้ฉีกทุกกฏเกณฑ์ขององค์ปะรกอบในการเจอผีจากบทในละครเลยจริงๆ จะให้เชื่อว่าตัวเองเจอผีได้ยังไง ทำไมไม่เหมือนในละคร สมองของเด็ก 9 ขวบสับสนมาก
พี่นักเรียนหญิงก็ยังคงนอนนิ่ง หันหน้ามาทางดิฉันไม่มีท่าทีที่จะรับรู้สิ่งใด ทั้งๆที่สิ่งเหลือเชื่อกำลังดำเนินอยู่ห่างจากตัวของพี่นักเรียนไปแค่ไม่กี่ฟุต จริงๆพี่เขาน่าจะเดือดร้อนมากกว่าเราอีกนะ ผีอยู่ใกล้เขามากกว่าอีก แต่พี่เขายังนอนหลับได้เลย
"เราจะมาเจอผีนักรบที่นี้ได้ยังไง ผีทหารแบบนี้ไม่ได้มีแค่ที่อยุธยาเหรอ ไม่ใช่ผีหรอก แต่คนที่ไหนจะมาใส่ชุดทหารเอาตอนนี้ แล้วบันไดนี้อยู่ดีๆ มีขึ้นมาเองได้ยังไง" ดิฉันวิเคราะห์ งง สงสัย พยายามเทียบเคียงกับข้อมูลความรู้น้อยนิดที่เด็กน้อยพอจะมี
"ไม่เห็นจะเหมือนในละครเลย เราก็ขยับตัวได้นี่นา ไหนในละครขยี้ตาแล้วผีหายไป นี่ก็ไม่เห็นหายไปเลย" ดิฉันหันกลับไป กลับมาอีกรอบ
"ไหนว่าผีไม่มีเท้า นี่เขาก็มีเท้าหนิ บันไดมีประกายไม๊....ไม่มีหนิ ผีตัวโปร่งๆไม๊...ไม่ก็ทึบๆเหมือนคนนะ " ดิฉันพินิจรายละเอียด
"แผลเต็มตัวเลย....เลือดแดงคล้ำตามแผลเต็มไปหมด แต่หน้าตาเขาดูไม่เจ็บปวดแล้วนะ....แล้วทำไมตัวเขาเป็นสีเหลืองหละ....ผมทรงมหาดไทยจริงๆด้วย....สมัยก่อนไม่มีเจลใส่ผมแล้วทำได้ยังไง...โจงกระเบนสั้นสีแดงสดจริงๆเหมือนในรูปที่เขาวาดๆกันเลย" ดิฉันแพ่งมองทีละส่วน ด้วยความสนใจ แต่พยายามไม่มองที่ตา ด้วยกลัวว่าเขาจะหันมาสบตา แต่ก็พยายามจ้องมองที่ใบหน้าเพราะอยากรู้ว่าคนไทยสมัยก่อนหน้าตาเป็นอย่างไร หล่อไม๊..... ชายผู้นั้นยังคงพนมมือก้าวเดินขึ้นบันไดสีขาวนวลด้วยอาการสงบ และใบหน้าเรียบเฉย ทุกอย่างเงียบไร้เสียงหมาหอน ทั้งที่ ที่วัดก็มีหมาเยอะแยะ ไม่เหมือนในละครเลย.... ดิฉันหันหลังกลับ เพื่อประมวลสิ่งที่เพิ่งเห็นตรงหน้า
"ไหนความกลัว?" ดิฉันถามตัวเอง "ไม่เห็นกลัวเลย คุยกับเขาดีไม๊ จะถามอะไรดี โอ้ย...คิดไม่ออก" สมองน้อยๆ เริ่มฟุ้งซ่าน ดิฉันจึงหันกลับไปอีกครั้ง เพื่อพบเพียงความว่างเปล่า ชายผู้นั้นหายไปแล้ว บันไดสีขาวได้หายไปแล้ว เหลือเพียงพี่นักเรียนหญิงนอนข่มตาในท่าเดิม ที่เดิม และตัวดิฉัน ที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ไม่ถึงอึดใจ ดิฉันก็ได้ยินเสียงโหวกแหวกโวยวายมาจากด้านบน ครั้นจะวิ่งขึ้นไปก็เป็นห่วงพี่นักเรียน ว่าพี่จะเจอผีเพียงลำพัง แต่ก็มีความอยากสอดรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นด้านบน หันซ้านหันขวา ชั่งใจไปมาอยู่ซักพัก ก็คิดได้ว่าเมื่อกี้เราเจอผี พี่เขายังนอนไม่รู้เรื่องเลย เขาน่าจะไม่เป็นไร เมื่อตกลงใจได้ดังนั้นก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินขึ้นไปชั้นบน พอไปถึงทุกอย่างก็สงบลงแล้ว ทุกอย่างดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดิฉันไม่รอช้าเดินพุ่งเข้าไปหาแม่ด้วยฝีเท้าเบาสุดแต่รีบสุด คุกเข่าลงข้างๆแม่แล้วกระซิบ
"แม่... หนูว่าหนูเจอผีนะ" แม่ลืมตาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ พร้อมกับถอนหายใจ
"เหรอ อืมๆ" แม่ตอบ ซึ่งแม่คงไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าลูกสาวแค่เพ้อเจ้ออีกเช่นเคย
"ใช่ แต่หนูไม่กลัวนะ" ดิฉันตอบ
เนื่องจากเป็นเวลาดึกแล้ว ผู้ร่วมปฏิบัติธรรมหลายๆคนจึงทยอยกลับบ้านไป ทำให้เบาะที่นั่งสมาธิแถวถัดไป ด้านหลังแม่จึงว่างลง ดิฉันไม่รอช้า นอนคุดคู้ที่เบาะนั้นและนอนหลับไปด้วยความสบายใจ..... เป็นเวลาเมื่อไรไม่ทราบ พ่อก็มารับพวกเรากลับบ้าน ซึ่งมีเพียงดิฉันกับพี่สาวที่กลับไปนอนที่บ้าน และไม่ได้กลับไปที่วัดอีก ส่วนแม่และพี่ชายอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัด จนจบกิจกรรม เมื่อแม่กลับมาดิฉันจึงได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้แม่ฟังด้วยความตื่นเต้น และสอบถามแม่ ว่าทำไมด้านบนจึงมีเสียงโวยวายหลังจากที่ดิฉันเจอผี มันเกิดอะไรขึ้น แม่บอกว่าไม่มีอะไร เพราะคงไม่อยากให้เด็กๆกลัว หรือเพราะปกติแม่ก็เป็นคนไม่ค่อยใส่ใจสิ่งรอบข้างก็ไม่ทราบ
เมื่อเติบโตขึ้น ดิฉันจึงได้รู้ว่า ขมิ้นคือยาที่ใช้ในการรักษาแผล ที่ชายผู้นั้นกายเป็นสีเหลืองราวกับถูกทาด้วยขมิ้น ดิฉันไม่ทราบแน่ชัดว่าเขาเกิดในยุคสมัยใด และเสียชีวิตในสงครามครั้งใด จากทรงผมและการแต่งกายน่าจะเป็นสมัยอยุธยา จึงทำให้ดิฉันสะเทือนใจมากๆ ดูสิเวลากี่ร้อยปีผ่านไปแล้วที่เขายังคงเป็นทหารบาดเจ็บติดอยู่ในโลกวิญญาณ ดิฉันได้แต่บอกตัวเองว่า ในวันนั้นคือวันที่เขากำลังจะเปลี่ยนภพภูมิ ในวันนั้นคือวันที่ความเจ็บปวดของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว สงครามของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว
ขอกราบขอบพระคุณ ที่เสียสละ ที่ยอมเจ็บปวด ยอมสละแม้กระทั่งชีวิตของตนเองเพื่อคนรุ่นหลัง ทุกๆครั้งที่ระลึกถึงเรื่องนี้ ในใจก็มีแต่ความทราบซึ้ง
ความคิดเห็น
