เมื่อใจบอกว่าอยากไปเดินป่าสัมผัสธรรมชาติ ก็ไม่รอช้าเตรียมตัวขึ้นภูหลวง เราออกเดินทางโดยรถตู้สู่จังหวัดเลยเมื่อ 2 ปีก่อน เดือนมีนาคม 2561 เป็นช่วงฤดูร้อนแต่โชคดีที่ก่อนหน้าที่จะมาถึงมีฝนตก อากาศก็จะเย็นถูกใจ ผู้จัดมีการติดต่อจองเต้นท์ล่วงหน้ากับทางอุทยาน รถตู้ขึ้นสู่ที่พักได้โดยไม่ต้องเดินขึ้น ที่พักที่จองไว้เป็นเต้นท์บ้านขนาดใหญ่พักได้ 4 คน มีห้องน้ำขนาดเล็กอยู่ข้างๆ เต้นท์ ภายในมีที่นอน หมอน และผ้าห่มจัดไว้ให้ เก็บของในแล้วออกเดินเล่นไม่ไกลจากที่พัก ตกเย็นอากาศจะเย็นลงราว 18 องศา ที่ร้านอาหารสั่งอาหารไว้ล่วงหน้า อาหารอร่อยใช้ได้ นอนเต้นท์ก็จะยากกว่านอนบ้านตอนเข้าห้องน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่นแบบต้มแก้สไม่ค่อยยอมติด ที่นี่มีบ้านพักด้วย แต่นอนเต้นท์ได้รสชาดของการเดินป่ามากกว่า ตกดึกลมพัดดังเสียงผ้าใบพรึบพรับ อากาศหนาวเย็น ดีนะเตรียมเสื้อหนาวมาเต็มที่ ไก่ฟ้าหลังขาว เดินหากินไม่ไกลจากที่พัก เดินไปไม่ไกลชมวิวที่ผาทำให้รู้สึกโล่ง สบายใจ อย่างที่สุด ตื่นเช้ามาเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ท่ามกลางอากาศเย็น 10 อาศา กว่าพระอาทิตย์จะขึ้นเต็มก็กดชัตเตอร์รัว ๆ เป็นสิบรูป กลับมาทานอาหารเช้าแล้วเตรียมตัวเดินป่ารอบใหญ่โดยมีเจ้าหน้าที่พาเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ แหล่งศึกษาธรรมชาติ เป้าหมายที่ “ผาเตลิ่น” ที่เป็นไฮไลท์ของภูหลวง ผ่านมาทาง "ผาช้างผ่าน" พบมูลช้างด้วย พรรณไม้ที่ได้เห็น ได้ชิมคือ ส้มสา,บ๊วยจีน ผลสดกลมสีเขียวอ่อน ผลสุกสีแดง ผลสดรสเปรี้ยวเล็กน้อยกินแล้วชุ่มคอ กุหลาบขาว กุหลาบแดงหรือกุหลาบพันปี ซึ่งจะขึ้นสลับตามลานหินและมีกล้วยไม้ต่างๆ เช่น เอื้องตาเหิน, เอื้องสำเภางาม, สิงโตสยาม, สร้อยระย้า กุหลาบขาวตัดกับก้อนเมฆสวยมาก กุหลาบแดงยังมีอยู่มาก ก่อนหน้าที่จะมาเจ้าหน้าที่บอกบานเต็มเขาเลย เอื้องสำเภางาม ส้มแปะ และ สร้อยระย้า เอื้องตาเหินที่พบได้บ่อยที่นี่ และ สิงโตสยาม ดอกไม้ พรรณไม้ขนาดเล็ก เวลาเดินก็จะคอยหลบอย่าไปเหยียบเชียว ดอกเล็ก ๆ ที่สวยงามมากมาย สมกับที่ว่า “ภูหลวง”แดนมหัศจรรย์พรรณไม้” มาถึง "ผาสมเด็จ" ที่ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เคยเสด็จมาที่ผานี้และจารึกพระนามไว้บนหินด้วย แล้วก็มาถึง "ผาเตลิ่น" ซึ่งถือเป็นผาที่มีวิวเป็นไฮไลท์ของภูหลวงเลยทีเดียว จุดชมวิวมีความสูงราว 1,055 เมตร เราพักทานกลางวัน กินข้าวกล่องที่วิวหลักล้านที่ผาเตลิ่น และเก็บขยะทั้งหมดกลับที่พัก ตลอดทางไม่มีห้องน้ำดังนั้นต้องปลดทุกข์แบบเข้าป่า ระหว่างทางเจ้าหน้าที่อธิบายพรรณไม้ต่าง ๆ บอกชื่อจนจำไม่หมด ถ่ายรูป พูดคุยแบบเป็นกันเอง ให้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่นี้ดีมาก เดินต่อไปชม “ รอยเท้าไดโนเสาร์ อันซีนไทยแลนด์” มีผู้สำรวจพบว่ามีถึง 15 รอยเท้าที่มีอายุ 100-140 ล้านปี เส้นทางเดินมีโหนต้นไม้บ้าง แต่จะเย็นสบายตลอดทาง กลับที่พักทานอาหารเย็นและกลับเข้านอนคืนที่ 2 แบบอิ่มเอมใจ เช้าวันต่อมา เราจะเดินป่ารอบเล็ก 4 กิโลเมตรเพราะต้องเดินทางกลับบ้านเย็นนี้ วันนี้ไปชมกล้วยไม้ป่า ระหวางทางเจอไม้แปลกตาเป็นไม้อิงอาศัยชื่อ ก๊อกมอง เป็นไม้เถาหรือไม้เลื้อย อาศัยบนต้นไม้ขนาดใหญ่เพื่อยึดเกาะและขึ้นไปรับแสงแดด เส้นทางบางช่วงมีทรายสีขาว คาดคะเนว่าเคยเป็นทะเลมาก่อน กล้วยไม้จิ๋วบนก้อนหิน บนขอนไม้ ที่ต้องมองใกล้ ๆ ถึงรู้ว่าเป็นกล้วยไม้ และ กล้วยไม้ป่า รองเท้านารี ที่หายากมาก ตลอดทางเห็นดอกเดียว การท่องเที่ยวแบบชมธรรมชาติและได้เดินป่าแบบนี้ เหมาะกับการศึกษาพรรณไม้ ทำให้จิตใจเบิกบาน ได้ออกกำลังกายด้วย ผู้ร่วมท่องเที่ยวที่ไม่รู้จักกันมาก่อนก็ดูจะเป็นคอเดียวกันลุย ๆ รู้สึกประทับใจกับ ภูหลวงจนต้องกลับมาอีกแน่นอน สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง หรือ การท่องเที่ยวจังหวัดเลย เครดิตภาพปกจาก Pixabay ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียน