เมื่อครั้งเรากลับบ้านต่างจังหวัด แม่เราได้เห็นครีมบำรุงของเราไม่ว่าจะครีมทาหน้า ทาผิว ครีมหมักผม เซรั่มสารพัด แม่เอ่ยเชิงบ่นใช้อะไรนักหนาราคาก็แพง สมัยแม่ใช้แค่น้ำซาวข้าวก็เอาอยู่แล้วล่ะ เอาละสิ ความอยากรู้ผุดขึ้นเป็นกอง น้ำล้างข้าวเนี่ยนะจะทำได้ขนาดนั้นเลยหรือ มันจะดีอย่างที่แม่ว่ามั้ย แล้วก็ตื๊อแม่ให้เล่าขยายความให้ฟัง แม่เล่าให้ฟังว่า สมัยของแม่เมื่อนานมาแล้ว ประมาณ 50-60 ปีเห็นจะได้ ผู้หญิงสมัยนั้นเค้าจะใช้น้ำซาวข้าวมาสระผม โดยครั้งแรกก็ให้สระผมด้วยแชมพูตามปกติแล้วก็ใช้น้ำซาวเนี่ยแหละล้างแชมพู ขณะล้างก็นวดหนังศีรษะไปด้วยนะเลือดลมจะได้ไหลเวียนดี แล้วก็ล้างน้ำเปล่าอีกรอบ แค่นี้แหละ ผมก็จะมีน้ำหนัก แข็งแรงไม่เปราะหักง่าย ไม่แตกปลาย ทำให้ผมมีสุขภาพดีด้วยนะ ไม่ต้องทำบ่อยแค่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็พอ ยัง ๆ ยังไม่พอ แม่ถามว่าเห็นหน้าแม่มั้ย สิว ฝ้า กระแทบจะไม่มีเลย เพราะน้ำซาวข้าวนี่แหละ หนูอยากรู้อีกแล้ว แม่ ๆ บอกมาเลย แม่บอกว่าไม่มีอะไรมากมายใช้น้ำซาวข้าวนี้แหละใช้ล้างหน้าทุกวันล้างเสร็จไม่ต้องเช็ดนะปล่อยให้แห้งเอง รับรองหน้าไม่มัน สิวไม่มี ฝ้า กระ ไม่มาเยี่ยมเลย และถ้าอยากให้ผิวหน้าเด้งก็เอาน้ำผึ้งมาทาหน้าทิ้งไว้พอแห้งก็ล้างออก แค่นี้เอง แม่ยังบอกอีกว่าผู้หญิงสมัยก่อนมือจะนุ่มนิ่ม เพราะน้ำซาวข้าว เค้าจะเอาน้ำซาวมาแช่มือทำทุกวันจะสังเกตว่ามือจะนุ่มเนียน เด้ง ไม่เหี่ยวเลย เราตะลึงในความมหัศจรรย์ของน้ำซาวข้าวที่เราคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไร ล้างแล้วก็ทิ้งไป อะเมซิ่งมาก ๆ แม่แถมให้อีกนิดว่า นอกจากจะใช้เป็นเครื่องสำอาง ยังใช้ในงานบ้านได้ด้วย สมัยนั้นไม่มีน้ำยาถูพื้นก็ใช้น้ำซาวเข้าถูพื้น พอถูเสร็จก็ใช้ผ้าแห้งถูตามอีกครั้งรับรองได้เลยว่าพื้นเงาวิบวับ ๆ หรือจะใช้ล้างจานแทนน้ำยาล้างจานก็ได้ ปัญหาคราบไขมัน กลิ่นคาวไม่มีกวนใจแน่นอน และถ้าใช้น้ำซาวข้าวไปรดน้ำต้นไม้ ต้นไม้ก็จะโตเร็วออกดอกออกผลให้เราเยอะเลย ภูมิปัญญาชาวบ้าน แม้จะไม่มีราคาค่างวดอะไร แต่ถ้าได้ลองใช้ก็อาจจะทำให้เราประหยัดได้เยอะเลย แต่ทว่าในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สภาพแวดล้อมที่ไม่ใสสะอาดเหมือนก่อน การใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านควบคู่กับเทคโนโลยีนวัตกรรมสมัยใหม่ก็น่าจะได้ผลดี อีกทั้งยังเป็นการสืบสานให้ภูมิปัญญานั้นไม่สูญหายไปตามกาลเวลาอีกด้วยค่ะ ภาพทุกภาพถ่ายโดยผู้เขียน