อื่นๆ
Halloween the series : เหตุเกิดที่ค่ายลูกเสือ.

ทุกคนคงมีประสบการณ์อกสั่น ขวัญผวาที่แตกต่างกันออกไป และบางคนอาจไม่เคยเจอเรื่องราวเหล่านั้นเลย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีในชีวิตแล้ว T^T
เพราะสำหรับตัวฉันเองที่กลัวสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า “วิญญาณ” จนเข้าไส้ ก็ไม่ได้อยากพบเจเหตุการณ์ใดๆทั้งสิ้น แต่สุดท้ายฉันก็เลือกไม่ได้
- ยิ่งกลัว ยิ่งเจอ -
เรื่องราวของฉันเกิดขึ้นในช่วง ป.6 ณ ค่ายลูกเสือสุดท้ายในชั้นประถม และเป็นค่ายสุดท้ายก่อนก้าวเข้าสู่วัยมัธยม
โรงเรียนของฉันในตอนนั้นเป็นโรงเรียนคริสต์ แน่นอนว่าค่ายลูกเสือมักมีสุสานอยู่ในระแวกนั้น
ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีในคืนแรก จนมาถึงในช่วงบ่ายของวันที่สอง ก็จะมีกิจกรรมฐานเดินทางไกลที่ต้องเดินผ่านเส้นทางต่างๆตามแผนที่ โดยหนึ่งในทางที่หมู่ลูกเสือตัวน้อยอย่างพวกเราต้องเดินผ่านไป คือ สุสานแบบฉบับของศาสนาคริสต์ ในช่วงนั้นฟ้ายังคงสว่าง สุสานจึงไม่น่ากลัว เป็นเพียงพื้นที่เงียบสงบ ที่มีคุณลุงเก็บกวาดขยะ และทำสวนเพื่อให้ความน่ากลัวจางหายจนคล้ายสวนหย่อมทั่วๆไป
Advertisement
Advertisement
ต่างกันแค่ที่นี่ไม่มีใครคิดจะมานั่งเล่นชมนก ชมไม้แน่ๆ
Credit by : https://pixabay.com/th/
“ที่นี่ก็ไม่ได้น่ากลัวนี่หว่า ดอกไม้สวยด้วย” บี (ชื่อสมมุติ) เพื่อนคนหนึ่งในหมู่ลูกเสือน้อยเอ่ยขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบดอกไม้ แต่ฉันดึงมือบีกลับมาทันก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป
ฉันใช้อำนาจความเป็นรองหัวหน้าหมู่ กำชับทุกคนห้ามหยิบจับสิ่งของใดๆกลับไปด้วยเด็ดขาด และอ้างว่า ถ้าอาจารย์รู้อาจจะดุได้ แต่ความเป็นจริงนั้น ฉันแค่กลัว
การเดินหลังสุดของแถวนั้น ไม่ว่าจะหันไปมองข้างหลังสักกี่สิบรอบ
ทุกอย่างก็ยังคงว่างเปล่าและนิ่งมากจนน่ากลัวจริงๆ
ช่วงเวลาในตอนนั้นผ่านไปด้วยดี จนฉันเองก็คิดว่าความกลัวที่เกิดขึ้นคึงเป็นแค่การมโนไปเองอย่างที่เพื่อนๆบอกกัน
Credit by : https://www.google.co.th/imgres?imgurl
Advertisement
Advertisement
จนตกดึกของค่ำคืนนนั้น...
ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือไม่ บ้านพักของหมู่ลูกเสือน้อยเป็นบ้านพักหลังสุดท้ายของค่าย ติดกับรั้วหน้าสุสาน เรียกสั้นๆว่า หลังบ้านมีวิวเป็นสุสาน แต่ยังดีที่บ้านพักฉันใกล้ห้องน้ำมากกว่าบ้านพักอื่นๆ
อาจารย์กำชับให้อาบน้ำและเตรียมตัวนอนก่อน 5 ทุ่ม หากหลังจากนั้น หากไฟในบ้านยังไม่ปิดจะถูกลงโทษ
“ถ้ายังเห็นบ้านหลังไหนไม่นอน จะให้ไปนั่งสมาธิที่สุสาน!”
พวกเราเลยรีบอาบน้ำ และปิดไฟตามเวลาเป๊ะ
ไฟที่ถูกปิดลงทำให้แสงไฟจากห้องน้ำที่อยู่ภายนอกสาดส่องเข้ามาจนเห็นถึงความสว่างอ่อนๆ ทุกอย่างเงียยสงบจนได้ยินเสียงขอพัดลมหมุนไปมาชัดเจน ฉันพยายามข่มตาตัวเองให้หลับให้ได้
30 นาทีผ่านไป....
45 นาทีผ่านไป....
1 ชั่วโมงผ่านไป....
เวลาที่ผ่านไป 1 ชั่วโมง ฉันยังคงพยายามข่มตานอนให้หลับอยู่เหมือนเดิม แต่นอนไม่หลับเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างเงียบมากจนไม่กล้าขยับตัว
Advertisement
Advertisement
เพื่อนๆคงหลับกันไปหมดแล้วแน่ๆ
ฉันได้แต่คิดแต่ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาดู
เพราะอะไรหนะหรือ...
มีคนกำลังกระซิบอยู่ข้างๆหูฉัน...
อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ถึงแม้จะจับใจความไม่ได้ว่าพูดอะไร แต่มั่นใจมากๆว่าไม่ใช่เสียงพัดลม ฉันไม่ได้คิดไปเอง พัดลมมันไม่ได้อยู่ใกล้หูของฉัน!!
หลังจากนั้นไม่นาน บีที่นอนข้างๆประตู รีบวิ่งมาที่เตียงของฉัน ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่เสียงกระซิบก็ค่อยๆเบาลงจนเงียบไป
“พาไปห้องน้ำหน่อย ทนไม่ไหวแล้ว” น้ำตาที่คลอเบ้าบีอยู่ ทำให้ฉันยอมลุกจากเตียง
อย่างน้อย ก็ดีที่มีเพื่อนยังไม่หลับเหมือนกัน
“เดี๋ยวไปด้วย” เอ (นามสมติ) ที่นอนข้างๆฉัน จู่ๆก็ลุกขึ้นมาจากเตียง
“นี่ยังไม่นอนเหมือนกันหรอ?”
“อือ”
เราทั้งสามคนเดินออกจากบ้านพัก มุ่งตรงไปยังห้องน้ำที่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก นาฬิกาตรงประตูที่เดินผ่านบ่งบอกเวลา 3.45 น. บรรยากาศเวลาตี 3 คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก ลมพัดเบาๆอ่อนๆสัมผัสกับผิวหนัง ใบไม้ปลิวไสวในยามค่ำคืน และความเงียบที่ทำให้ได้ยินถึงเสียงหายใจของพวกเราเอง
“รีบไปจะได้รีบกลับ”
ซู่!!!
เสียงน้ำไหลอย่างแรงดังมาจากในห้องน้ำห้องหนึ่ง
“ใครเปิดน้ำทิ้งไว้แรงขนาดนี้ว้ะ”
“นั่นดิ น้ำไหลหมดแล้ว” เอและบี ต่างยืนประนามการกระทำของบุคคลนิรนามที่เปิดน้ำทิ้งไว้ พวกเราถูกปลูกฝังให้ยอมไม่ได้ในเรื่องแนวๆนี้ อีกอย่างเลย คือ น้ำในค่ายค่อนข้างมีจำกัด
“ก็ไปปิดดิ”
บีได้เดินเข้าไปปิดน้ำในห้องน้ำที่อยู่เกือบหลังสุดของแถวลงก่อนจะเข้าห้องน้ำนั้นไป
เมื่อน้ำหยุดไหลความเงียบได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
Credit by : https://pixabay.com/th/photos/
.
.
.
.
“เรียบร้อยล้ะไปกันเถอะ”
ซู่!!!
ในขณะที่พวกเรากำลังจะก้าวขาออกจากห้องน้ำ จู่ๆเสียงน้ำก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มาจากอีกห้องนึง ที่ไม่ไกลจากพวกเรานัก
โครม!!!
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
ขันที่ถูกเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบได้ล่วงหล่นลงมาเสียงดังจนน่าตกใจ พวกเราต่างรีบวิ่งกลับไปภายในบ้านพักแบบไม่คิดชีวิต พอประตูปิดลง เราต่างไม่พูดอะไรถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอไป
ไม่ใช่คนแกล้งแน่ๆเพราะในห้องน้ำไม่มีใคร และก็อกน้ำในนั้นเป็นแบบบิดเปิด เหมือนก็อกน้ำซันวา
มันแน่นเกินกว่าจะเปิดเองได้!
“เรานอนด้วยกันไหมอีกแปบเดียวก็เช้าแล้ว” เอพูดขึ้นพร้อมชี้ไปที่นาฬิกาตรงประตู 4.12 น.
เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงกว่าๆที่พวกเราเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้
จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังอธิบายเรื่องราวในวันนั้นไม่ได้
เช้าวันต่อมา เราต่างเงียบไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และตั้งใจว่าถ้ายังอยู่ที่นี่จะไม่พูดจนกว่าจะได้ออกไป
“นอนบ้านนี้กันหรอ?”
เพื่อนที่อยู่บ้านหลังใกล้ๆกัน ชี้ไปที่บ้านที่ฉันเพิ่งจะหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าออกมา
ฉันได้แต่พยักหน้า
“ถามจริงๆ นอนหลับมั้ย” สีหน้าของเพื่อนเริ่มซีดลงและเบิกตากว้าง
“หลับ... ทำไมหรอ?”
“ได้ข่าวว่าหลังนี้มี...”
ฉันเริ่มเงียบ ในใจอยากตอบว่า อืมรู้แล้ว!! และเล่าเรื่องทั้งหมดที่เจอให้ฟัง
แต่ใจก็ไม่กล้าพอ
“รุ่นพี่ปีที่แล้ว เห็นชัดๆหน้าบ้านเลยนะ” เพื่อนคนนั้นแอบกระซิบข้างๆหูฉัน ในตอนที่เรากำลังแบกกระเป๋าไปไว้ที่จุดรวมพล
ขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้ฉันรู้เรื่องนี้ในวันสุดท้ายก่อนกลับบ้าน
และขอบคุณที่มาแค่เสียง
สิ่งหนึ่งที่เพิ่งมารู้ทีหลัง คือ เราทั้ง 3 คนได้ยินเสียงกระซิบที่ฟังไม่รู้เรื่องนั่นกันหมด แค่คนล้ะช่วงเวลาแต่ไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนการถามหาเจ้าของเสียง
ในช่วงที่ฉันกำลังจะก้าวขึ้นรถกลับบ้าน ฉันหันกลับไปมองบ้านหลังนั้นในระยะที่มองเห็นไกลมากกก
ทุกอย่างเงียบสงบ
ฉันว่าเขาไม่ได้เจตนาจะมาหลอกพวกเราชาวเด็กค่ายลูกเสือหรอก
เขาอาจจะแค่อยากทักทาย
เขาอาจจะแค่หาเพื่อนเล่นด้วย
เด็กๆ...
ซู่….!!
เสียงน้ำไหลและภาพเหตุการณ์ในวันนั้น
ถึงแม้จะเลือนลางตามกาลเวลา แต่ฉันยังคงจำความรู้สึกขนลุกนั้นได้ดี
Credit by : https://www.google.co.th/imgres?imgurl
ความคิดเห็น
