อื่นๆ
3D Food Printing : เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกแห่งการกิน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีด้านอาหารได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มี เนื้อสัมผัส สารอาหาร และความสวยงามที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
หนึ่งในเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดนั่นก็คือ 3D food printing หรือการพิมพ์อาหารสามมิติ
เริ่มมาจากการมีเทคโนโลยี 3D printing หรือเครื่องพิมพ์สามมิติเป็นต้นแบบ จากนั้นได้มีการนำมาประยุกต์ใช้กับอุตาหกรรมอาหารโดยมีการปรับปรุงให้ส่วนประกอบภายในเครื่องสามารถรองรับการพิมพ์อาหารที่เมื่อผลิตออกมาแล้วสามารถรับประทานได้จริง
โดยสามารถแบ่งเทคนิคการใช้งานออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน
- การพิมพ์แบบอัดขึ้นรูป หรือ Fused Deposition Method (FDM)
เทคนิคนี้เป็นวิธีที่แพร่หลายมากที่สุดเนื่องจากมีความคล้ายกับการอัดขึ้นรูปอาหาร และสามารถร้างผลิตภัณฑ์อาหารได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นตัวเครื่อง 3D food printing รุ่นพื้นฐานสำหรับใช้กับเทคนิคนี้มีราคาไม่แพง
Advertisement
Advertisement

เครดิตรูปจาก Priybrat
และมีผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิดที่ถูกผลิตขึ้นจากเครื่องพิมพ์ที่ใช้เทคนิคนี้เช่น ช็อคโกแลต พาสต้า และผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้ที่มีการกลืนลำบาก
2. การพิมพ์แบบ Power Bed Fusion หรือ Selective Laser Scanning printing
เทคนิคนี้ทำได้โดยการกระจายผงวัตถุดิบออกเป็นชั้นบางๆ และใช้ลำแสงเลเซอร์เพื่อหลอมวัตถุดิบตามตำแหน่งที่กำหนด เมื่อเสร็จหนึ่งชั้น ผงวัตถุดิบจะถูกกระจายสำหรับชั้นถัดไปและทำซ้ำจนได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบไว้
ด้วยกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนทำให้เทคนิคนี้มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า Fused Deposition Method (FDM)
เครดิตรูปจาก Needpix
อย่างไรก็ตามผลผลิตที่ได้นั้นมีคุณภาพที่ดีกว่าและสามารถใช้ออกแบบขนมที่ทำจากน้ำตาล เช่น ลูกกวาด และสร้างขนาดและรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ยังช่วยลดจำนวนวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิตอีกด้วย
Advertisement
Advertisement
3. การพิมพ์แบบ Binder Jetting
เทคนิคนี้ค่อนข้างคล้ายกับเทคนิค Powder Bed Fusion แต่จะใช้การฉีดพ่นของของเหลวหรือส่วนผสมอาหารอื่นๆ เพื่อเป็นตัวเชื่อมให้ผงวัตถุดิบนั้นยึดติดเข้าด้วยกันในตำแหน่งที่ต้องการ ทำซ้ำจนผลิตภัณฑ์ฝังตัวลงในผงวัตถุดิบ โดยผงวัตถุดิบที่ไม่ติดกับสารยึดเกาะจะถูกนำออกและสามารถนำกลับมาใช้ในการพิมพ์ครั้งต่อไปได้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะถูกนำไปดำเนินการในขั้นตอนต่อไปเช่น การอบ
เครดิตภาพจาก Creative Commons
เทคนิคนี้สามารถใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเบเกอรี่และขนมหวานเนื่องจากสามารถสร้างพื้นผิวที่เป็นเอกลักษณ์และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้
การนำ 3D printing หรือการพิมพ์สามมิติมาใช้สำหรับพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารในอนาคตไม่เพียงแต่จะตอบสนองความต้องการด้านสารอาหารหรืออิสระในการสร้างสรรค์เมนูอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว ยังช่วยลดปริมาณขยะอาหารซึ่งมีเป็นจำนวนมากบนโลกของเราและส่งผลกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญอยู่อีกด้วย
Advertisement
Advertisement
เรื่องโดย Billion
ความคิดเห็น






