อื่นๆ

4 เหตุผลที่ทำให้รู้ว่า 'การโดน Bully ไม่ใช่เรื่องตลก'

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
4 เหตุผลที่ทำให้รู้ว่า 'การโดน Bully ไม่ใช่เรื่องตลก'

ทำไมสนุกปากกับการด่าปมด้อยคนอื่น ทำไมพวกเธอถึงหัวเราะเยาะรูปลักษณ์ของพวกเขา มันไม่ตลก...และไม่เคยเป็นเรื่องตลก - โอปอล์ ปาณิสรา อารยะสกุล

'การล้อเลียนหรือ Bully' ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียนรูปร่างหน้าตา ฐานะทางบ้าน การศึกษาหรือพฤติกรรม อาจเป็นเรื่องตลกโปกฮาของคนบางกลุ่ม แต่ไม่ใช่กับคนที่ถูกล้อเลียน

หลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นแค่การล้อเล่นในกลุ่มเด็กด้วยกัน เช่น การแกล้งดึงผม ผลักให้ล้ม เอาของไปซ่อนหรือแย่งขนมเด็กที่ตัวเล็กกว่า บางคนกลับคิดไปเองว่ามันคือเรื่องตลกและเรื่องเด็กแกล้งกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่ากระทำดังกล่าวจะสร้างบาดแผลและความทรงจำแย่ ๆ ให้คนที่ถูกกระทำถึงเพียงไหน ซึ่งอาจส่งผลถึงการเรียน การเข้าสังคมและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

และนี่คือผลของการถูก Bully ที่อาจเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งไปตลอดกาล

Advertisement

Advertisement

เมื่อการกลั่นแกล้ง รังแก bully ไม่ใช่เรื่องตลกPhoto by pexels.com/@pixabay

1. ไม่มีมั่นใจในตัวเอง

มีคนจำนวนไม่น้อยที่กลัวการถูกจับตามองจากคนกลุ่มใหญ่ พวกเขาจะชอบแฝงตัวอยู่ในคนหมู่มากแต่กลับชอบอยู่เงียบ ๆ มีโลกส่วนตัว มีเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนและมีนิสัยเออออตามน้ำกับทุกคนแม้ว่าในใจจะไม่เห็นด้วยก็ตาม พฤติกรรมเช่นนี้ก็มีผลพวงมาจากการถูกล้อเลียน การโดนต่อว่าแรง ๆ ต่อหน้าคนเยอะ ๆ การถูกหัวเราะเยาะเพราะทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความอับอายและปมด้อยในใจ ดังนั้นพวกเขาเลยคิดว่าการอยู่เงียบ ๆ ไม่ทำตัวโดดเด่นนี่แหละดีที่สุดจะได้ไม่ถูกรังแกอีก

โรคซึมเศร้าจากการ BullyPhoto by pexels.com/@adrien-olichon-1257089

2. โรคซึมเศร้า

คนเป็นโรคซึมเศร้าไม่ใช่คนบ้า คนที่ถูกรังแกบ่อย ๆ  ไม่มีทางสู้ก็จะทำได้เพียงเป็นฝ่ายยอมอยู่เรื่อยไปและไม่รู้เลยว่าต้องยอมไปจนถึงเมื่อไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นหากคนรอบข้างไม่เข้าใจและให้คำแนะนำที่ผิดหลักการ เช่น เปรียบเทียบว่าคนอื่นยังทนได้ ทำไมเราถึงทนไม่ได้ อันนี้ยิ่งไปกันใหญ่เลย จากที่เศร้าอยู่แล้วจะยิ่งดิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย พวกเขาจะโทษตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่ในสังคม ผลจากการโดนกลั่นแกล้งจนนำไปสู่การจบชีวิตมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน

Advertisement

Advertisement

เมื่อคนโดน bully กลายเป็นคน bully คนอื่นPhoto by pexels.com/@pixabay

3. กลายเป็นคน Bully ไปเสียเอง

ข้อนี้มันเกิดจากความเก็บกดล้วน ๆ! เหมือนภูเขาไฟที่รอวันปะทุ คนประเภทนี้เมื่อทนไม่ไหวจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาตอบโต้บ้าง แต่มันจะไม่จบแค่นั้นสิ คนที่โดนกลั่นแกล้งจะเริ่มหวาดระแวงคนรอบข้าง เกรงว่าหากทำตัวอ่อนแอก็จะถูกรังแกอีก ความคิดนี้แหละที่เปลี่ยนคนดีให้เป็นปีศาจมานับต่อนับแล้ว ตัวอย่าง (จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เจอ) รุ่นน้องคนหนึ่งตอนเรียนประถม 2 โดนแกล้งร้องไห้ทุกวัน ต่อมาขึ้นประถม 4 ไม่มีใครกล้าแกล้งเขาแล้วและมีเรื่องชกต่อยมาแทน บางครั้งก็ทำตัวเป็นหัวโจกรุมล้อเลียนเด็กอื่นแทน เรียกว่าโดนกระทำแบบไหนมาก็ทำเรื่องแบบเดียวกันกับคนอื่น

เปลี่ยนการถูก bully เป็นแรงผลักดันPhoto by pexels.com/@thngocbich

4. เปลี่ยนความกดดันเป็นแรงผลักดัน

คนดังระดับโลกและบุคคลที่ประสบความสำเร็จหลายคนก็เคยมีต้นทุนชีวิตติดลบด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการโดนทำร้ายร่างกาย การถูกเอาเปรียบ รวมถึงสารพัดความดูถูกดูแคลนทั้งหลาย แต่แทนที่คนเหล่านั้นจะนั่งน้อยใจในโชคชะตา เขากลับเปลี่ยนมันเป็นแรงผลักดัน ลุกขึ้นมาพิสูจน์ตัวเอง เช่น ถ้าเรียนไม่เก่งก็ต้องขยันอ่านหนังสือ หาความรู้ให้มากขึ้น หากรูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวยจนโดนล้อ ก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ดูแลตัวเองเสียใหม่ ฯลฯ ให้คิดเสียว่า คนที่ชอบตำหนิคือคนชี้จุดบกพร่องให้เรา เราก็มีหน้าที่แก้ไขจุดบกพร่อง สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เขาเห็น...

Advertisement

Advertisement


มีคนเคยกล่าวว่า 'อาวุธที่ร้ายแรงที่สุดและสร้างความเจ็บปวดได้มากที่สุดของคือวาจาของเรานี่แหละ' การพูดไม่คิดอาจพลิกชีวิตคนคนหนึ่งได้เลยทีเดียว ปัจจุบันมีหลายภาคส่วนของสังคมออกมาร่วมรณรงค์ เพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงผลเสียของการถูกล้อเลียน ผ่านการกิจกรรมต่าง ๆ เพราะเราเชื่อมั่นว่าคุณค่าของคนอยู่ที่ตัวตนข้างในหาใช่รูปลักษณ์ภายนอกเสมอไป

Stop Bully เพราะคุณค่าของคนอยู่ที่ตัวตนของในPhoto by pexels.com/@polina-tankilevitch

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์