อื่นๆ
9 สิ่งที่ต้องรับมือเมื่อกลับบ้านมาเป็นเกษตรกร
9 สิ่งที่ต้องรับมือเมื่อกลับบ้านมาเป็นเกษตรกร
ถ้าใครเลยเล่นเกม Farm ville ในเฟซบุ๊กจะจำได้ว่าการปลูกพืชผักมันเป็นอะไรที่สนุกมาก หลังจากเราพรวนดิน หย่อนเมล็ด ผักจะค่อย ๆ โตขึ้น ยิ่งปลูกมากก็ยิ่งได้มาก หลายคนก็ใฝ่ฝันจะทิ้งชีวิตลูกจ้างในเมืองกลับมาใช้ชีวิตเกษตรกรที่บ้าน ใช้ชีวิตชิว ๆ อยู่กับพืชผักสีเขียว แต่ชีวิตจริงมันไม่ง่ายแบบนั้น ต้องเจออะไรมากมาย ซึ่งแต่ละคนก็เจอไม่เหมือนกันแล้วแต่สภาพแวดล้อมและต้นทุนของแต่ละคน
1. คำพูดลบ ๆ จากคนรอบข้าง
ต้องยอมรับว่าสังคมชนบทยังยกย่องคนที่รับราชการหรือทำงานในเมืองก็จะดูโก้ดูดี แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรากลับบ้านมาเป็นเกษตรกรหรือค้าขายทั่ว ๆ ไป เราก็จะอาจจะเจอคำพูดลบ ๆ ทั้งจากคนที่หวังดีและคนขี้นินทา เขาจะมองว่าเราล้มเหลวเลยกลับมาทำงานที่คนไม่ต้องจบปริญญาอย่างเขาก็ทำได้และทำไม่สำเร็จมาแล้วด้วย แต่ถ้าเป็นฟาร์มใหญ่ ๆ หรือทำโรงเรือนอย่างดี ข้อนี้ก็ถูกยกเว้นไป เราต้องเข้าใจว่าเขาพูดจากชีวิตเขาเอง เขาไม่ได้เข้าใจเป้าหมายของเรา เราทำได้แค่หยุดแสวงหาการยอมรับจากคนอื่น และมุ่งหน้าแสวงหาความสุขให้ตัวเอง
Advertisement
Advertisement
2. ภัยธรรมชาติ การทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์ ประมง ซึ่งต้องพึ่งพาธรรมชาติ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอกับภัยธรรมชาติ แต่เราป้องกันและบรรเทาได้ถ้ามีการเตรียมการรับมือที่ดี หลัก ๆ ได้แก่ ภัยน้ำท่วม ภาคใต้นี่เป็นปกติของน้ำท่วมเลย ขึ้นอยู่ว่าจะท่วมมากท่วมน้อย ท่วมเวลาไหน บางอย่างป้องกันได้แต่ต้องใช้ทุนเยอะ หลายคนเลยเลือกที่จะหยุดการผลิตไปเลยในช่วงหน้าฝน ภัยต่อมา คือ ภัยแล้ง น้ำท่วมว่าหนักแล้วแต่ก็อยู่ไม่นาน ช่วงแล้งนี่แล้งนาน น้ำทำการเกษตรก็ไม่พอ น้ำเลี้ยงปลาก็ไม่มี น้ำในคลองแห้งขอด น้ำร้อนจนปลาลอยตายเกลื่อน สภาพอากาศก็แปรปรวน ทำให้สัตว์อ่อนแอ ป่วยง่าย โรคต่าง ๆ ก็ระบาดและอีกสารพัดปัญหาที่ควบคุมไม่ได้
ภาพโดย Mysticsartdesign จาก Pixabay
3. ศัตรูธรรมชาติ การปลูกพืชผักก็มีศัตรูธรรมชาติ เช่น หนู แมลง หนอน โรคต่าง ๆ การเลี้ยงปลาก็มีศัตรูทั้งในน้ำ เช่น งูน้ำ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในน้ำ และบนอากาศ คือ นกต่าง ๆ ที่ร้ายสุด คือ นกกาน้ำ เพราะสามารถดำลงไปในน้ำและกินลูกปลาทีละเยอะ ๆ ซึ่งศัตรูเหล่านี้เป็นต้นทุนที่เราต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดการและทำให้ผลผลิตเราเสียหาย ส่วนหอยที่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นศัตรูกับการเลี้ยงปลาแต่กลับสร้างความเดือดร้อนให้มากเพราะเวลาลงจับปลาแต่ละครั้ง ถ้าไปเหยียบเอาเปลือกหอย จะได้แผลลึกเเละเจ็บเท้าไปหลายวัน
Advertisement
Advertisement
4. ราคาสินค้าตกต่ำ การทำเกษตรเชิงเดี่ยวส่วนมากเราจะขายให้พ่อค้าคนกลาง ซึ่งเรากำหนดราคาเองไม่ได้ สินค้าประมงก็เช่นเดียวกัน บางช่วงที่ผลผลิตออกมามาก ราคาก็ตกแต่เราก็จำเป็นต้องขาย เพราะสินค้าพวกนี้รอไม่ได้ ถึงเวลาก็ต้องจำหน่าย ถ้าเป็นปลาบางชนิด เช่น ปลาดุก ถ้าไซส์ใหญ่ไป แม่ค้าที่รับซื้อไปทำปลาดุกร้าก็ไม่รับซื้อ เกษตรกรต้องหาทางขายไปยังผู้บริโภคโดยตรงหรือแปรรูปให้ได้
ภาพโดย photoAC จาก Pixabay
5. ภัยจากเพื่อนมนุษย์ มักเกิดจากที่ดินที่ทำกินอยู่คนละที่กับที่พักอาศัย และไม่มีรั้วกำแพงกั้นที่มิดชิด ที่พบบ่อย คือ การลักขโมยผลผลิต, ขโมยวัสดุอุปกรณ์, สัตว์เลี้ยงเพื่อนบ้านเข้ามาทำลายผลผลิต เช่น ทำนา ปลูกผัก แล้ววัวมากินข้าวหรือเหยียบย่ำพืชผัก นอกจากทรัพย์สินจะเสียหายแล้วยังทำให้หัวเสียอีกด้วย
Advertisement
Advertisement
6. โดนโกง
ส่วนมากจะไม่เกิดกับลูกค้าหน้าใหม่แต่จะเกิดกับคนที่เรารู้จัก ที่เราไว้ใจหรือเกรงใจ เพราะถ้าเป็นคนไม่รู้จัก เราจะระวังตัวและไม่ให้เครดิตแต่กับคนรู้จัก เช่น เพื่อน ญาติ คนละแวกบ้าน เราจะเกรงใจ ยอมให้เครดิต ส่งของก่อนค่อยจ่ายเงิน พอเขาไม่จ่าย เราก็ไม่กล้าทวงอีก
7. เงินหมุนไม่ทัน
ช่วงแรกที่เราเริ่มทำงาน เราต้องใช้เงินไม่น้อยในการลงทุนซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ ตลอดถึงต้นทุนในการผลิต แต่ผลผลิตทางการเกษตรต้องใช้เวลาในการผลิตและไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพอครบกำหนดจะได้ผลผลิตดังคาด บางครั้งจะได้เก็บผลผลิตอยู่แล้วแต่อยู่ ๆ ก็เกิดโรค ฉะนั้นช่วงที่ผลผลิตยังไม่ออก เราต้องมีรายได้จากทางอื่นเข้ามาหรือมีเงินสำรองไว้ว่าช่วงที่เรายังไม่มีรายได้ เราจะยังมีเงินเพียงพอในการใช้จ่ายแต่ละเดือน
8. งานหนักและเหนื่อย
ต้องทำใจว่างานเกษตรต้องเจอกับสภาพอากาศที่ร้อน งานก็หนัก การทำงานหนักกลางแดดร้อน ๆ ทำให้หมดพลังงานเอาง่าย ๆ พาลหงุดหงิดด้วย วางแผนจะทำโน่นทำนี่ พอเจออากาศร้อนมาก ๆ บางทีก็ต้องถอย ซึ่งบางคนจะตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้ามืดจนถึง 10 โมง และเริ่มงานอีกทีหลัง 4 โมงเย็นจนค่ำ ช่วงกลางวันนอนพักผ่อน ทำงานที่อยู่ในร่ม การปรับชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพอากาศก็จะช่วยลดความเหนื่อยล้าลงได้ ส่วนการทำงานหนักมาก ๆ ยกของผิดท่า ทำงานโดยไม่มีการป้องกัน เช่น สูดดมละอองข้าว ฝุ่น ควัน ช่วงแรก ๆ อาจจะยังไม่เห็นผล แต่ถ้าทำต่อเนื่องเป็นเวลานานก็จะเกิดโรคตามมามากมาย ทำอะไรจึงต้องป้องกันตัวเองไว้เสมอ เพราะร่างกายเราสำคัญที่สุด
ภาพโดย jackma34 จาก Pixabay
9. ยิ่งอยู่ไกลตัวเมืองระบบสาธารณูปโภคยิ่งไม่ดี
ทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น เช่น ในตัวเมืองไฟฟ้าจะไม่ค่อยดับหรือดับไม่เกิน 10 นาที แต่นอกเมืองไฟฟ้าจะดับบ่อยกว่าและดับนานหลายชั่วโมง ถ้างานเราจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า เช่น อนุบาลลูกปลา เลี้ยงสัตว์ในฟาร์มปิด ต้องมีระบบสำรองไฟไว้ ถนนหนทางในพื้นที่นอกเมืองก็ยังเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะ รถเราก็สึกหรอได้ง่าย มีค่าซ่อมบำรุงเยอะขึ้น
ถึงทุกอย่างจะไม่ได้ราบรื่นหมดแต่มันก็เป็นธรรมดาของทุกงานที่ต้องเจออุปสรรคกันบ้าง ถ้างานนั้นเป็นงานที่เรารัก เราก็จะสามารถแก้ปัญหาและฝ่าฟันมันไปได้ เมื่อเทียบกับการได้มาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ได้ดูแลพ่อแม่ในช่วงบั้นปลายของท่าน แค่นี้มันก็คุ้มแล้วไม่ใช่หรือ
นิ้วกลมเคยกล่าวไว้ว่า "ชีวิตในฝันของใครหลายคนที่อยากนั่งกินนอนกิน แท้จริงแล้วเป็นชีวิตที่น่าสงสาร เพราะมนุษย์มิได้อยู่ได้ด้วยอาหารท้องเท่านั้น หากยังอยู่ได้ด้วยอาหารของหัวใจ นั่นคือความหมายและคุณค่าของตัวเอง ชีวิตที่มีความสุข คือ ชีวิตที่ได้ใฝ่หาตัวตนที่ดีกว่า ตัวตนที่ยอดเยี่ยมที่สุด เราจะได้พัฒนาร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณผ่านในเส้นทางนั้น"
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับเส้นทางที่ตัวเองเลือกนะคะ
ภาพโดย sasint จาก Pixabay
ภาพปกโดย likedok88 จาก Pixabay
ความคิดเห็น