อื่นๆ

EP2. IT’S TIME, isn’t it?

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
EP2. IT’S TIME, isn’t it?

สถานการณ์ยังคงดราม่าอย่างต่อเนื่อง...

“หัวหน้า: เฮ้ย! มันเป็นไปได้ไงว่ะเนี่ย ดูเราก็ไม่น่ามีอาการอะไรที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยนะ มันเป็นเพราะอะไรอ่ะ? หมอบอกว่าไง?” หัวหน้าถามกลับมาด้วยความสงสัยอย่างที่สุด ประเมินได้จากสีหน้าและท่าทางของเขา

“เรา: คงเป็นเพราะนอนไม่หลับมาหลายปีเกินไปมั้งพี่ จนทำให้สารเคมีในสมองไม่สมดุล”

“หัวหน้า: เฮ้ย! จริงอ่อว่ะ!” พี่หัวหน้ายังคงทำท่าไม่อยากจะเชื่อว่าเราป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ ส่วนเราก็ได้แต่อธิบายด้วยเสียงสั่นๆไปได้แค่นั้น คิดอะไรไม่ค่อยออก มีอาการอ๋องยาเล็กน้อย มึนๆ เลยทำตาปริบๆส่งให้พี่เขาแทน พร้อมกับถอนหายใจไปพลาง เหนื่อยใจกับตัวเองเหมือนกันว่ะพี่ที่อยู่ๆก็มาป่วยอะไรไม่รู้แบบนี้

“หัวหน้า: เฮ้อ! โรคซึมเศร้าอ่อว่ะ…” บ่นพึมพำคนเดียว และล่าสุดหัวหน้าถอนหายใจเป็นเพื่อนแล้วจ้า

Advertisement

Advertisement

คือปกติเวลาอยู่ในครัว เราก็ทำงานได้ปกติอ่ะ (อาจมีมึนบ้าง กินยาบ่อย จะเป็นลมบ้าง แต่ทุกคนก็รู้ว่าเราลาป่วยบ่อย แสดงว่ามันไม่แข็งแรงแล้วแน่ๆ) แต่เราก็ยังเรียนรู้งานได้ปกติ พี่ๆเขาบอกด้วยซ้ำว่าเราหัวไว ทำอะไรไว (แค่มันไม่ค่อยได้นอนเลยเอ๋อๆไปบ้าง) ใครให้ทำอะไรก็ทำ สบายมาก เราเป็นคนที่ไม่ค่อยอะไรอ่ะ ไม่คิดอะไรมาก เชฟว้ากมาทีเราก็นิ่ง ไม่ตอบโต้อะไร ค่อนข้างใจเย็น เป็นคนชิลล์ และก็กวนทีนพี่ๆน้องๆในครัวเป็นกิจวัตรด้วย พี่ๆโซนเซอร์วิสก็ชอบมาแหย่เราเล่น บรรยากาศในครัวสนุกสนาน อบอุ่น และเป็นกันเองมากๆ ลักษณะภายนอกเราก็ดูเหมือนคนปกติทุกอย่างจริงๆอ่ะแหล่ะ ใครมันจะไปคิดล่ะว่าเราจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้น่ะ ...เวลาผ่านไปสักพัก ไม่นานมากหรอก แต่รู้สึกเหมือนผ่านมาแล้วสามชาติเศษ สุดท้ายเสียงเอ่ยขึ้นมาแบบคนปลงๆ เพราะทำอะไรกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้อีกแล้วนอกจากต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นก็เปล่งออกมาเบาๆ

Advertisement

Advertisement

“หัวหน้า: อื้ม...แล้วเราจะเอายังไงต่อล่ะที่นี้?” คำถามปวดใจได้หลุดออกมาจากปากหัวหน้าแล้ว คำถามที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกบอกไม่ถูก แต่เราก็รู้ตัวเราเองแล้วแหล่ะ ว่ามันมาได้แค่นี้ สุดแล้วจริงๆ สามวันดีสี่วันลางี้คงอยู่ต่อไม่ไหวแล้วล่ะ ลำบากคนอื่นเขาเปล่าๆ

“เรา: ก็คงต้องขอออกไปพักรักษาตัวอย่างจริงจังก่อนอ่ะพี่ เพราะว่าโรคนี้มันใช้เวลาในการรักษานาน แล้วเคสเคคือเป็นมานาน แล้วไม่ได้รีบไปรักษา มันเลยหนัก เวลาเทคยาสมองเราเลยต้านหนักกว่าคนอื่นเขาอ่ะพี่ แบบกินยาแล้วจะมึน อึน อ๋อง เอ๋อ หลุดไปเลยอ่ะ นี่ถ้าอยู่ๆก็ร้องไห้แบบไม่มีสาเหตุไม่ต้องตกใจนะพี่ คือปกติทิไม่ใช่คนร้องไห้ง่ายอ่ะ แต่ยามันไปปรับสารเคมีในสมอง และฮอร์โมนเราก็จะแปรปรวนไปด้วย มันจะขึ้นๆลงๆ คาดเดาอะไรไม่ได้เลย” หัวหน้าเราพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจและเห็นใจไปด้วยในเวลาเดียวกัน ตอนที่เราบอกพี่หัวหน้าเป็นช่วงจังหวะที่แขกไม่มีพอดี ครัวไม่ยุ่ง ทุกคนเลยมาอยู่รวมกันตรงสเตชั่นเราพอดี พี่ๆน้องๆเกือบทุกคนในครัวที่มาทำงานในวันนั้นก็ได้รับรู้พร้อมกันหมดว่าเราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

Advertisement

Advertisement

“หัวหน้า: อือๆ พี่เข้าใจ เราก็ออกไปพักรักษาตัวให้หายดีก่อน แล้วยังไงค่อยว่ากัน เอาสุขภาพเราไว้ก่อน สุขภาพเราสำคัญสุด ถ้าหายดีแล้วอยากกลับมาก็บอกพี่ได้ จะออกจะอะไรยังไงเมื่อไร บอกพี่ไว้ล่วงหน้าก่อนนะ”

“เรา: ขอบคุณมากๆนะคะพี่ ขอบคุณที่เข้าใจ ขอบคุณจริงๆค่ะ”

“หัวหน้า: เออๆ ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ เราอย่าคิดมากล่ะ”

ยังจำวันที่มาสัมภาษณ์งานกับพี่หัวหน้าเขาได้อยู่เลย จำคำพูดพี่เขาได้ขึ้นใจ “พี่ไม่สนหรอกนะว่าเก่งหรือไม่เก่งอ่ะ ไม่ว่าเราจะเก่งมาจากไหน ก็ต้องทำงานเป็นทีมร่วมกันกับคนอื่นให้ได้อยู่ดี ยังไงก็ต้อง Follow Standard ของเชฟ ทุกอย่างเราต้องเริ่มใหม่หมด ถึงแม้เราจะไม่เก่ง ไม่มีประสบการณ์ มันก็สอนกันได้คนเรามันเรียนรู้กันได้ ขอแค่เราตั้งใจจริง จริงจังที่จะทำ ที่สำคัญสุดคือต้องมีทัศนคติที่ดีต่องานและเพื่อนร่วมงาน พี่ขอแค่นี้ก็พอแล้ว” มันเป็นประโยคที่เราประทับใจมาก ยอมรับว่าเราตื่นเต้นมากตอนสัมภาษณ์อ่ะ กลัวเขาไม่รับอ่ะจริงๆ ตัวเราเองคือเด็กที่เริ่มจากศูนย์เลย ไม่มั่นใจเลยที่จะเริ่มงานสายนี้ แต่พอฟังพี่เขาพูดแล้วแบบมันได้ว่ะ แม่งมาว่ะ! ต้องสักหน่อยแล้วล่ะ! เราเลือกทำงานที่ไม่ตรงสายที่เรียนจบมานะ เพราะอยากลองทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยได้ทำ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งที่พกมาไม่ได้มีความหมายอะไรในการสมัครงานของเราเลย เราไม่มีประสบการณ์การทำงานด้านนี้จริงจังเหมือนคนอื่นเขา มาเพราะอยากลองเรียนรู้ล้วนๆ มาลองเองให้เห็นกับตาว่ามันจะสักแค่ไหน มาท้าทายตัวเอง แล้วผลคือเราก็ทำได้นี่หว่า ไม่โปรแต่ไม่แป๊กก็ชนะตัวเองแล้วป่ะว่ะ! ฟีลดีโคตรๆตอนรู้ว่าได้งาน พี่เขาเปิดใจยอมรับเราเข้าทำงานทั้งๆที่เราไม่มีอะไรเลยอ่ะ คือเขาให้โอกาสมาถึงจุดนี้แล้ว!สภาพมือของคนอ๋องๆไปทำงาน บาดแผลย่อมเกิดเป็นเรื่องธรรมดา

นี่เราต้องโชคดีขนาดไหนว่ะ...งานนี้คือการทำงานจริงจัง เป็น Full-time Staff ครั้งแรกในไทยแลนด์ของชีวิตเลยนะเว้ย แล้วได้เจอหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานที่ดีขนาดนี้อ่ะ ถึงจะได้ร่วมงานกับที่นี่เป็นระยะเวลาสั้นๆแต่ออกไปคงคิดถึงมากแน่ๆ ที่นี่เป็นสังคมการทำงานที่ดีมาก ไม่อยากลาออกเลยว่ะเอาจริงๆ แต่ด้วยสภาพร่างกายของเรามันพังมาก มันไม่ตอบโจทย์งานแล้ว ยิ่งทำยิ่งเสี่ยงเพราะเราต้องอยู่กับมีดกับเครื่องสไลด์ อยู่กับของมีคมตลอดเวลา การเทคยาของเราทำให้เรามึน ซึ่งมันจะได้ไม่คุ้มเสียละว่ะจุดนี้ มันจำเป็นแล้วจริงๆ ปีนี้คือปีที่สุขภาพแย่มากแบบปฏิเสธไม่ได้เลย ลาป่วยบ่อยมากถึงมากที่สุด ไปโรงพยาบาลและกินยาเป็นว่าเล่น ไทลินอลอ่ะ พาราเซตามอลที่ทุกคนต้องรู้จักกันดีอยู่แล้วแหล่ะ เรานี่ปีๆนึงเทคเป็นกระปุกๆเลยนะ กินเป็นขนมอ่ะ ไม่รู้ว่าไตยังอยู่ดีไหม หรือพังไปพร้อมกับระบบสารเคมีในสมองเราแล้วก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วอ่ะว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเราได้ตั้งใจทำอย่างเต็มที่เท่าที่ความสามารถเราในตอนนี้จะทำได้แล้ว ยอมรับได้แล้วนะ มันถึงเวลาแล้วที่ต้องหยุด ปล่อยให้ตัวเองได้ฮีลแบบจริงจังได้แล้วเค รักตัวเองได้แล้ว.

และคนๆนี้คือพ่อ(ในครัว)สุดที่รักของเราเอง


จำเป็นต้องจากทั้งๆที่ไม่อยากจริงๆ เพื่อนร่วมงานดีคือนิพพาน!

Credit: ภาพประกอบทุกภาพมาจากผู้เขียนเองค่ะ***

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์