อื่นๆ
คนฉลาดพูด... มักไม่เปลืองน้ำลาย

ภาพหน้าปกโดย https://www.pinterest.com/pin/849984129647088910/
สังคมเราตอนนี้วุ่นวายมากกว่าเดิม เพราะเราพูดในสิ่งที่คิดออกมาทันทีโดยไม่ค่อยกลั่นกรอง และยังเชื่อว่าการกระทำเช่นนั้นถูกต้อง รู้สึกไหมครับว่าคนสมัยนี้พูดกันมากขึ้น... พูดสิ่งที่คิดมากขึ้น จนน่าคิดว่า "เราพูดกันมากเกินไปหรือเปล่า?"
เนื่องจากถือว่าเรามีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรก็ได้ตามที่คิด มีเสรีในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ... แต่เราลืมคำนึงไปหรือเปล่าครับว่า แม้เราจะมีสิทธิ์แค่ไหน แต่ทุกคำพูดของเราที่เปล่งออกมานั้นต้องย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นไม่มากก็น้อย และอาจจะส่งผลได้ทั้งดีและร้ายเสมอนะครับ
ถ้า "อารมณ์" เป็นสิ่งมีชีวิตล่ะก็ มันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดมาก เพราะมันมักจะทำให้คนไขว้เขว ทำให้คนกระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อมันได้เสมอครับ อย่างการที่เราจะพูดตามที่คิดแบบไม่ต้องสนใจอะไรนั้น จะว่าไปก็คือการที่อารมณ์ล่อลวงให้คิดว่าเราทำได้และควรทำในสิ่งนั้น ๆ ซ้ำยังพยายามหาเหตุผลมารองรับเพื่ออ้างให้การกระทำของเรานั้นถูกต้องอย่างน้อยก็ในความรู้สึกของเรา ก็เลยอ้างว่าถูกต้องตามสิทธิ์ ตามกฎหมายและต่าง ๆ นานาที่ยกมาอ้างกันครับ
Advertisement
Advertisement
ภาพโดย www_slon_pics จาก Pixabay.com
การคิดเช่นไรพูดเช่นนั้น แท้จริงแล้วก็คือการกลลวงอีกอย่างหนึ่งของอารมณ์เช่นกันครับ เพราะมันพยายามที่จะทำให้มนุษย์เราเป็นทาสหรืออยู่ใต้อำนาจของมันนั่นเอง และมักย่อมพูดตามที่อารมณ์และกิเลสในใจตามที่ต้องการ... เราจึงควรระวังในเรื่องนี้ให้มาก ๆ ครับ หมั่นพิจารณาว่าเรากำลังตกเป็นเหยื่อของกลลวงแห่งอารมณ์นี้หรือเปล่า
เราควรเตือนตัวเองเสมอว่า "อย่าพูดทุกสิ่งที่คิด" แม้สังคมจะบอกว่าเรามีสิทธิ์แค่ไหนก็ตามเถอะ แต่เราก็ควรคิดให้ดีอีกหนึ่งชั้นว่าการพูดแต่ละครังของเรานั้นมันจะส่งผลดีหรือผลเสีย... อันไหนที่ดีก็พูดไปครับ แต่อันไหนก่อจะให้เกิดปัญหา เกิดความแตกแยก เกิดรอยร้าวขึ้นขอให้ชะลอการพูดจะดีกว่านะครับ
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ครับว่าหลักการพูดที่เหมาะสมนั้นมีอยู่ว่า "ถ้าคำใดที่ไม่จริง ไม่มีประโยชน์ และผู้ฟังไม่ชอบฟัง พระองค์จะไม่ตรัส ถ้าคำใดไม่มีจริง ไม่มีประโยชน์ แต่ผู้ฟังชื่นชอบและอยากฟัง พระองค์ก็จะไม่ตรัส ถ้าคำใดที่เป็นจริง แต่ไม่มีประโยชน์ และผู้ฟังไม่ชอบไม่อยากฟัง พระองค์ก็จะไม่ตรัส ถ้าคำใดที่เป็นจริง แต่ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ผู้ฟังชื่นชอบอยากฟัง พระองค์ก็จะไม่ตรัส ถ้าคำใดที่เป็นจริง มีประโยชน์ แต่ผู้ฟังอาจไม่ชื่นชอบ พระองค์จะทรงตรัสตามแต่โอกาส ถ้าคำใดที่เป็นจริง มีประโยชน์ และผู้ฟังก็ชื่นชอบสนใจที่จะฟัง พระองค์จะทรงตรัสตามแต่โอกาส"
Advertisement
Advertisement
สังเกตดี ๆ นะครับคุณจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงคิดถึง 3 ชั้นก่อนจะเอ่ยอะไรออกไป ชั้นแรกคิดว่าจริงหรือไม่ ชั้นที่สองคิดว่ามีประโยชน์หรือไม่ และชั้นที่สามก็คิดว่าผู้ฟังจะรู้สึกอย่างไร และที่สำคัญคือ "ไม่ว่าคำพูดจะเหมาะสมดีและมีประโยชน์แค่ไหนพระองค์ก็จะเลือกตรัสตามโอกาส ใช่ว่าจะตรัสทันทีเสียทั้งหมด"
เราอาจมีสิทธิ์แต่เราก็ต้องตระหนักว่าหนึ่งคำของเราก่อให้เกิดผลได้เสมอ ซึ่งหากมันก่อให้เกิดผลร้ายต่อให้จริงแค่ไหนเราก็ต้องคิดให้ดีครับว่ามันคุ้มหรือไม่ เพราะหนึ่งความจริงที่เราพูดอาจเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะระดับประเทศก็ได้
อย่างสังคมปัจจุบันเป็นตัวอย่างครับ คนนึกอยากพูดอะไรก็พูดอย่างรวดเร็ว บ้างก็พูดต่อหน้า บ้างก็พูดผ่านอินเตอร์เน็ต จนตอนนี้สภาพบ้านเมืองของเราแตกแยกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
Advertisement
Advertisement
ภาพโดย geralt จาก Pixabay.com
นี่แหละครับคือผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดของการพูดโดยมัวแต่คิดว่า "ฉันพูดจริงและมีสิทธิ์พูด ฉันจึงอยากจะพูด คุณหรือคนอื่นที่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามฉัน" คนที่พูดในลักษณะนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่นเอาแต่ใจตนเองเป็นหลักนะครับ
ถัดจากเรื่องการพูดโดยอ้างว่าตนมีสิทธิ์ อีกหนึ่งการพูดที่อยากให้ทุกท่านมาร่วมกันคิดต่อก็คือ การพูดที่มากเกินไปในคนยุคใหม่โดยเฉพาะวัยรุ่น ซึ่งการพูดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการพูดคุยออกเสียงธรรมดานะครับ แต่ผมหมายถึงการพูดทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการพูดผ่านอินเตอร์เน็ต อย่างการแชท โพสต์ หรือการเล่นโทรศัพท์มือถือ 24 ชั่วโมง ตอนเรียนก็เล่น ตอนจะนอนก็เล่น ขนาดลืมตาตื่นปุ๊บก็คว้าโทรศัพท์มือถือมาอัพเดตสเตตัสกันแล้ว
จริง ๆ แล้วในหนึ่งวันมีสิ่งน่าทำมากมายหลายอย่าง เราสามารถทำประโยชน์ให้กับชีวิตตนเองได้เยอะแยะหลายทาง แต่เราส่วนมากกลับหมดและเปลืองเวลาไปกับการนั่งแชทนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือทั้งวัน... ทำไมเราไม่ลองนำพาตัวเองทำสิ่งอื่น ๆ บ้าง อย่างการอ่านหนังสือ ฝึกฝนตนเองในด้านต่าง ๆ หรือการออกไปพบปะสังคมภายนอก ยังมีเรื่องน่าสนใจรอเราอยู่อีกมากมาย ในโลกนอกอินเตอร์เน็ตนะครับ
หรือระหว่างนั่งแชทกับโทรศัพท์มือถือนั้น เราอาจละเลยคนที่มีตัวตนจริง ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรา ไม่ว่าจะพ่อแม่ คนรัก หรือเพื่อน ๆ ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ... เราพูดคุยและให้ความสนใจกับพวกเขามากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน
หลายครั้งที่ในกลุ่มเพื่อนเก่าที่นัดกันมาพบปะสังสรรค์ แต่กลับกลายเป็นว่าทุกคนก้มหน้าก้มตาอยู่แต่กับโทรศัพท์มือถือของตัวเอง หลายครั้งที่ไปกินข้าวกันในครอบครัวแต่ลูกดันนั่งแชทหรือเล่นแต่โทรศัพท์มือถืออย่างเมามัน หลายครั้งที่นัดเจอคนรักแต่กลับอีกฝ่ายมัวแต่สนใจที่อยู่ที่อื่นมากกว่าคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ภาพโดย Free-Photos จาก Pixabay.com
มาเริ่มต้นใหม่กันเถอะครับ พูดผ่านจักรกลให้น้อยลงแล้วหันมาสัมผัสตัวตนคนจริง ๆ ให้มากขึ้นหรือไม่ก็ลดปริมาณการพูดลง ประเภทน้ำท่วมทุ่งพูดไปเรื่อยเปื่อยนั้นลองลดลงดูแล้วหันไปทำสิ่งอื่น มีกิจกรรมอีกมากมายที่เราทำได้เพื่อจัดสรรชีวิตให้เปี่ยมสุขยิ่งขึ้นและทำให้คนอื่นรู้สึกมีความสุขมากขึ้นได้ครับ
การพูดนั้นคือการสื่อสารที่ทรงคุณค่า มันเป็นได้ทั้งการส่วข้อความจากอีกคนสู่อีกคนหนึ่งเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน หรือไม่ก็เป็นช่องทางแหล่งการเรียนรู้ ให้เราลองสอบถามยามที่เกิดความสงสัยใคร่รู้ในบางเรื่อง และยังเป็นทางระบายอารมณ์ความรู้สึกกัยความในใจได้อย่างดี ลองอ่านและนำไปทำตามกันดูนะครับ ผมรับรองว่าชีวิตของคุณทุกคนสามารถพบกับความสุขที่คุณทำขึ้นมาได้ง่ายยิ่งขึ้น
การพูดอย่างฉลาดนั้น โดยเน้นให้เราพูดอย่างมีคุณค่า พูดแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกดี ๆ พูดเรื่องดี ๆ ต่อเรา ผู้อื่นและสังคม ขณะเดียวกันมุ่งหมายให้การพูดนั้นไม่ต้องเยอะแต่มีคุณค่า ลดทอนการพูดที่เกินจำเป็นลง เพราะหนึ่งชีวิตของเรามีสิ่งอื่น ๆ ให้ทำมากกว่าการพูดจานะครับ....
🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸
ความคิดเห็น






