อื่นๆ
ความรักในพุทธศาสนา ตอนที่ 1 เหตุให้เกิดความรัก
ผู้คนจำนวนไม่น้อยคงต้องเคยพานพบกับความรัก ไม่ว่าจะรักเขาข้างเดียว พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ในการพิชิตหัวใจคนที่เราตกหลุมรัก เพื่อให้ได้หัวใจเขาคนนัั้นมาครอบครอง แต่พยายามอย่างไรก็ยังมีความรู้สึกห่างไกล จนต้องยอมแพ้พ่ายต่อกำแพงของความเฉยชาที่ฝ่ายตรงข้ามสร้างขึ้นมาปิดกั้นในท้ายที่สุด ในขณะที่ผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งก็โชคดีที่ได้พบเจอกับความรักที่สมหวัง บางคู่เพียงพบเจอกันครั้งแรกภายในใจของทั้งคู่ก็สั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหวหลายริกเตอร์ การพูดคุยทำความรู้จักแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย เพราะเพียงพบเจอกันไม่นานก็ปานประหนึ่งว่า สนิทสนมคุ้นเคยกันมานานหลายสิบปีเลยทีเดียว
อาจมีผู้สงสัยอยู่เช่นกันว่าอะไรกันที่เป็นสาเหตุยามเมื่อเราได้พบเจอใครบางคน หัวใจเรากลับนิ่งเฉยประหนึ่งแผ่นศิลาที่ไร้ความรู้สึกรู้สาใดๆต่อเขา แต่กับบางคนที่เราได้พบเจอเพียงยามแรกเห็นภายในใจกลับสั่นไหว ชุ่มชื่น ละมุนละไม ชวนให้อยากเข้าใกล้ราวกับว่ารอคอยเขาคนนั้นมานานแสนนาน
Advertisement
Advertisement
ความสงสัยเช่นนี้ได้เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลเช่นกัน ดังที่ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะทรงประทับอยู่ที่เมืองสาเกต ในเวลานั้น ว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยเหตุอันใดเล่าหนอ บุคคลบางพวกแม้เมื่อพบกันเข้าก็เฉย ภายในใจก็เฉย แต่บุคคลบางคน เมื่อเห็นกันเข้าแล้วกลับมีจิตเลื่อมใส”
ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถาไขข้อสงสัยของเหล่าภิกษุ โดยแสดงเหตุให้เกิดความรักขึ้นไว้ว่า
ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นโดยเหตุสองประการ คือ
ด้วยการอยู่ร่วมกันมาในกาลก่อน ๑
ด้วยการเกื้อกูลต่อกันในภพปัจจุบัน ๑
เหมือนดอกบัวที่เกิดอยู่ในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุสองประการ คือ น้ำและเปลือกตม ฉันนั้น
อธิบายเนื้อความแห่งคาถานี้ได้ว่า การอยู่ร่วมกันมาในกาลก่อนนั้น หมายถึง การได้เคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ ไม่ว่าจะเคยเกิดเป็น บิดามารดา ญาติพี่น้อง หรือแม้แต่ความเป็นมิตรสหายที่เคยอยู่ร่วมเรียงเคียงบ่าไหล่กันมาตั้งแต่ในอดีต แม้ในยามเปลี่ยนผ่านภพชาติแล้ว ความรู้สึกรักใคร่ก็ยังไม่ได้ละไปจากใจยังคงติดตามมาแม้ในภพปัจจุบัน ประการหนึ่ง ส่วนอีกประการหนึ่งก็คือ การได้เกื้อกูลช่วยเหลือกันในภพชาติปัจจุบัน ก็สามารถทำให้ความรู้สึกรักก่อตัวขึ้นมาได้เช่นกัน
Advertisement
Advertisement
ตัวอย่างดังเช่ยครั้งหนึ่งพระศาสดาเสด็จพร้อมด้วยหมู่ภิกษุเที่ยวบิณฑบาตรไปในเมืองสาเกต เวลานั้นมีพราหมณ์ชราผู้หนึ่ง เดินผ่านมาทางนั้นพอดีได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงหมอบอยู่แทบพระยุคลบาทแล้วจับข้อพระบาทไว้ พลางกราบทูลพระองค์เป็นนัยว่า “แหนะพ่อผู้เจริญ ธรรมดากุลบุตรย่อมบำรุงปรนนิบัติบิดามารดาผู้ชรามิใช่หรือ ท่านไปอยู่ ณ ที่ใดมา จึงมิได้แสดงตนให้ปรากฎแก่เรา มาเถิดท่าน ไปพบกับมารดาของท่านเถิด” ฝ่ายนางพราหมณีเมื่อได้เห็นพระพักตร์ของพระศาสดาก็จำได้ พลางบอกแก่บุตรธิดาของตนว่าให้ไหว้พี่ชายเสีย
พราหมณ์ทั้งคู่ได้ถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้นจึงได้ฟังธรรมของพระองค์ เมื่อสิ้นกระแสพระธรรมเทศนา พราหมณ์ทั้งสองก็ได้บรรลุเป็นพระอนาคามี
ภิกษุทั้งหลายเห็นเหตุการณ์โดยตลอดจึงสงสัยว่า เหตุใดหนอพราหมณ์ทั้งสอง จึงพูดประหนึ่งว่า พระศาสดานั้นเป็นบุตรอันเป็นที่รักยิ่งของตน ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงทราบเช่นนั้น จึงตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า
Advertisement
Advertisement
ในอดีตชาติ พราหมณ์นั้นเคยเกิดเป็นพ่อ อา และ ปู่ ของพระองค์อย่างละห้าร้อยชาติติดต่อกันไม่ขาดสาย ฝ่ายนางพราหมณีนั้นก็เคยเกิดเป็นแม่ น้า และย่า ของพระองค์อย่างละห้าร้อยชาติติดกันไม่ขาดสายเช่นเดียวกัน
จากตัวอย่างดังกล่าวนั้นจะเห็นได้ว่า การที่พราหมณ์ทั้งสองได้แสดงอาการประดุจว่า เป็นบิดามารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ด้วยความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของความรักที่มีให้กันในชาติก่อนมาอย่างยาวนานนั่นเอง
เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้แล้วคงจะทำให้ผู้อ่านหลายท่านคลายความสงสัยได้บ้างแล้วว่าเหตุใด บางคนเมื่อได้พบเจอกันมาเป็นครั้งแรก ความรักก็ผลิบานขึ้นมาในใจของทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว แต่ผู้อ่านบางท่านก็อย่าเพิ่งน้อยเนื้อต่ำใจไป หากในบางครั้งเราอาจเป็นฝ่ายเดียวที่มีความรู้สึกอย่างนั้น เพราะความรักในบางครั้งก็สามารถเกิดขึ้นได้โดยอาศัยความเกื้อกูล ความเห็นอกเห็นใจ และความเข้าใจ ที่เรามีให้ต่อคนที่เรารักในภพชาติปัจจุบันได้ หากรู้จักทำอย่างเหมาะสมและพอดี ความรักครั้งใหม่ก็อาจผลิบานขึ้นในใจของคนทั้งสองได้ไม่วันใดก็วันหนึ่งเช่นกัน
ขอบคุณภาพทั้งหมดจาก / pixabay.com
ความคิดเห็น