ไลฟ์แฮ็ก

จากมนุษย์เงินเดือนมาเป็นนักธุรกิจที่เจ๊ง

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
จากมนุษย์เงินเดือนมาเป็นนักธุรกิจที่เจ๊ง

วันนี้เกิดความรู้สึกอยากเขียนบทความขึ้นมา แต่คิดไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไร เอาเป็นว่าเล่าประสบการณ์ชีวิตของตัวผู้เขียนเองก็แล้วกัน

เมื่อจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ผู้เขียนได้สมัครเข้าทำงานที่รัฐวิสาหกิจที่ทำกิจการทางด้านโทรคมนาคมในการให้บริการสื่อสารแบบผูกขาดแห่งหนึ่ง ครั้งนั้นจึงเป็นการเริ่มชีวิตการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในฐานะของพนักงานรัฐวิสาหกิจในวัยยี่สิบต้นๆ ซึ่งวันเวลาเหล่านั้นผ่านมาหลายสิบปีแล้ว

ผู้เขียนทำงานอยู่ที่รัฐวิสาหกิจแห่งนั้นเป็นเวลา 7 ปี ตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ที่นี่ผู้เขียนรู้สึกว่าการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจช่างมีชีวิตที่สบายๆ การทำงานก็ไม่รู้สึกกดดันมาก ชีวิตการงานมีความปลอดภัยมั่นคงเพราะอย่างไรก็ไม่มีทางที่เราจะถูกให้ออกจากงาน ความกระตือรือร้นในการทำงานจึงมีน้อยเพียงแต่ต้องวางตัวตนและความประพฤติให้อยู่ในกฎระเบียบขององค์กรเท่านั้นก็พอ สิ่งที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือการได้รับโบนัสประจำปีทุกปี มากหรือน้อยก็เป็นไปตามผลประกอบการจึงดีกว่าการรับราชการแม้ว่าเงินเดือนที่ได้รับจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับการเป็นพนักงานบริษัทเอกชน

Advertisement

Advertisement

Office

รัฐวิสาหกิจซึ่งผู้เขียนทำงานมีโครงสร้างและรูปแบบการทำงานแทบจะไม่ต่างจากหน่วยงานราชการเลยในเรื่องระเบียบและระบบการทำงาน แต่สิ่งที่แตกต่างจากภาคเอกชนคือเรื่องของเงินเดือนซึ่งน้อยกว่ามากแต่ก็แลกมาด้วยความมั่นคงและสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลฟรีไม่เฉพาะตัวเองแต่ยังรวมถึงบิดามารดาและคู่สมรส แต่สวัสดิการเหล่านี้ผู้เขียนเองก็รู้สึกว่ามันไม่คุ้มสำหรับตัวเองเท่าไร เพราะตัวเองยังไม่มีมีคู่สมรส ส่วนบิดาผู้เขียนก็เป็นข้าราชการได้รับสวัสดิการจากรัฐบาลอยู่แล้วและมารดาผู้เขียนก็เสียชีวิตไปนานแล้ว

พูดถึงเรื่องสวัสดิการแล้วนึกถึงน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้ามาทำงานหลังผู้เขียนประมาณสองปี เมื่อมารดาของเธอป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล เธอสามารถเบิกเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายร่วมแสนบาทแต่เธอทำงานอยู่ได้ไม่ถึงปีก็ลาออก ส่วนตัวผู้เขียนก็ไม่เคยป่วยขนาดต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาลนอกจากเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ จึงแทบจะไม่ได้รับประโยชน์จากสวัสดิการนี้เท่าใด

Advertisement

Advertisement

หลังจากทำงานอยู่ที่รัฐวิสาหกิจแห่งนั้น 7 ปีทำให้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตที่แสนเรียบง่ายและมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในคอมฟอร์ตโซนที่แสนปลอดภัยแต่น่าเบื่อ อีกเหตุผลหนึ่งคือเรื่องของเงินเดือนที่แม้ว่าจะได้ขึ้นทุกปีแต่โดยรวมแล้วมันก็ยังเป็นจำนวนน้อยนิดเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เรียนจบรุ่นเดียวกันและเติบโตในหน้าที่การงานในบริษัทเอกชนซึ่งมีเงินเดือนมากกว่าเราหลายเท่า ผู้เขียนจึงตัดสินใจลาออกมาเพื่อสมัครงานในบริษัทเอกชน

หลังจากลาออกผู้เขียนสมัครเข้ามาทำงานในบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งที่ทำกิจการขายและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ให้กับหน่วยงานต่างๆ โดยได้เงินเดือนมากกว่าสมัยที่อยู่รัฐวิสาหกิจประมาณสองเท่าครึ่ง แต่ปรากฏว่าการมาทำงานในบริษัทแห่งนี้ได้สร้างความรู้สึกกดดันและอึดอัดอย่างหนักอันเกิดจากการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและวิธีการทำงานขององค์กรที่เป็นเอกชนจริงๆ ซึ่งต่างจากชีวิตการทำงานในสมัยเป็นพนักงานในรัฐวิสาหกิจไม่ได้

Advertisement

Advertisement

Office

ผู้เขียนทำงานอยู่ในบริษัทแห่งนี้ได้เพียงสามเดือนจึงตัดสินใจลาออก ซึ่งก็เป็นความต้องการของตัวเองและความเห็นชอบของผู้บริหารในบริษัทดังกล่าว ที่มีท่าทีไม่สบอารมณ์กับการวางตนและแสดงออกที่เห็นได้ว่าเขามองว่าเราว่าไม่ค่อยกระตือรือร้นในการทำงานให้ถึงระดับที่ทำให้เขาพอใจ

หลังจากลาออกจากบริษัทดังกล่าวผู้เขียนจึงไปสมัครเป็นอาจารย์นอกเวลาในโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งและที่สถาบันการศึกษาของเอกชนอีกแห่งหนึ่งเพื่อจะได้พอมีรายได้มาดำรงชีพ ความจริงในระหว่างที่ทำงานอยู่ที่บริษัทเดิมผู้เขียนก็ใช้เวลาช่วงเย็นในบางวันไปเป็นวิทยากรพิเศษที่สถาบันการศึกษาของรัฐแห่งหนึ่งอยู่แล้วตามการแนะนำของเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเคยไปเป็นวิทยากรที่สถาบันนี้เช่นกัน

หลังจากออกจากบริษัทเดิมในระหว่างนี้ผู้เขียนก็ไปสมัครงานที่บริษัทเอกชนที่ได้รับสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐให้ดำเนินการติดตั้งระบบโทรศัพท์บ้านในกรุงเทพฯและปริมณฑล จึงมีวิศวกรของรัฐวิสาหกิจเดียวกับผู้เขียนลาออกไปทำงานที่บริษัทนี้กันหลายคน  ผู้เขียนมีโอกาสได้เข้าไปรับการสัมภาษณ์จากผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ไม่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำงาน

Office

แย่แล้วสิผู้เขียนเริ่มเกิดความเครียดเพราะขณะนั้นเพิ่งแต่งงานกับภรรยาคนแรกแต่ตัวเองกลับยังไม่มีงานที่มั่นคงทำ ต่อมาผู้เขียนได้รับคำแนะนำจากน้องคนหนึ่งที่เคยทำงานที่รัฐวิสาหกิจเดิมด้วยกันให้ลองมาสมัครงานที่บริษัทเอกชนอีกแห่งหนึ่งซึ่งได้รับสัมปทานในการติดตั้งระบบโทรศัพท์บ้านในพื้นที่ภูมิภาคจากภาครัฐเช่นกัน โดยผู้เขียนได้รับการแนะนำและสนับสนุนจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เคยทำงานที่รัฐวิสาหกิจเดิมด้วยกันและย้ายมาเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทนี้ให้เข้าไปทำงานได้สำเร็จและได้รับเงินเดือนมากกว่าบริษัทเดิมที่เพิ่งจะลาออกมาเกือบสองเท่า

เมื่อมาทำงานที่บริษัทนี้ผู้เขียนเริ่มจะปรับตัวได้และทำงานที่บริษัทนี้ต่อมาอีกนาน ไม่น่าเชื่อว่าผู้เขียนจะทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ที่บริษัทนี้ได้นานถึงยี่สิบปี ตลอดเวลานั้นบริษัทสามารถประคองตัวเองให้อยู่รอดมาได้อย่างทุลักทุเลด้วยมูลหนี้จำนวนมหาศาลภายใต้ความผันผวนของเศรษฐกิจและทิศทางของเทคโนโลยีทางการสื่อสารและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้งาน โทรศัพท์บ้านแบบใช้สายกำลังเข้าสู่ความถดถอยเพราะมีเทคโนโลยีของโทรศัพท์มือถือเข้ามาครองตลาดแทน หลังจากก่อตั้งบริษัทมาเป็นเวลาเกือบสามสิบปีและไม่สามารถแบกรับกับภาระหนี้ได้บริษัทนี้จึงต้องล้มละลายไปในที่สุด

อย่างไรก็ตามตลอดเวลาที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่บริษัทนี้ ผู้เขียนได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่ามากในการทำงานในองค์กรเอกชน ทั้งทางด้านการจัดการ การจัดระบบงาน รวมถึงการแข่นขันทางธุรกิจ แม้ว่าจะต้องอยู่ในองค์กรที่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนก็ตาม แต่สิ่งที่อยากแบ่งปันเป็นข้อคิดก็คือการทำงานในบริษัทเอกชนมันมีความเครียดและได้รับความกดดันกว่าการเป็นพนักงานของรัฐมาก ต้องใช้ความอดทนและบริหารจัดการทางด้านอารมณ์ความรู้สึกมากหากไม่สามารถแยกแยะให้เหมาะสมแล้วมันจะส่งผลกระทบกับสุขภาพจิตและความมั่นคงในครอบครัวอย่างมาก ท่านที่คิดจะเปลี่ยนงานในลักษณะเดียวกับผู้เขียนต้องคิดให้ดีและตอบตัวเองให้ได้ว่าพร้อมที่จะทำงานอยู่่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้หรือไม่

คนเดียว

เมื่อถึงจุดอิ่มตัวในการทำงานที่บริษัทแห่งนี้และมองเห็นอนาคตอันดูมืดมนของบริษัท ผู้เขียนได้ขอออกจากงานก่อนเกษียณอายุ ก่อนที่บริษัทจะล้มละลายในไม่กี่ปีต่อมา เป็นการสิ้นสุดชีวิตของการมนุษย์เงินเดือน ก่อนที่จะต้องมามีชีวิตที่ต้องล้มลุกคลุกคลานกับการทำธุรกิจส่วนตัว และในที่สุดก็จบลงด้วยความล้มเหลวทางธุรกิจพร้อมกับการถูกหักหลังและฉ้อโกงโดยคนที่ใก้ลชิดที่สุด จนวันนี้ต้องกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอาชีพอิสระและไม่คิดจะกลับไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอีกต่อไป

สิ่งที่อยากจะฝากไว้เป็นข้อเตือนใจคือการทำธุรกิจส่วนตัวนั้นมันหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือนอย่างเทียบกันไม่ได้เลย เพราะท่านต้องใช้ทักษะทุกด้านที่ท่านมี ทั้งการบริหารธุรกิจ การจัดการเรื่องการเงิน การตลาด และสิ่งที่ยากที่สุดคือการบริหารบุคคล ท่านต้องใช้ความละเอียดและความใส่ใจให้มากที่สุดและที่สำคัญคือท่านต้องไม่มอบความไว้วางใจแก่ใครก็ตามถึง 100% เพราะหากเกิดความพลาดพลั้งล้มเหลวอย่างที่ผู้เขียนได้รับมันทำให้ชีวิตต้องพบกับความผิดหวังและสูญเสีย

แต่เหตุที่ผู้เขียนสามารถที่จะลุกขึ้นมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ก็ด้วยคำสอนและธรรมะของพระพุทธองค์ที่ท่านสอนให้ปล่อยวางกับสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว เพราะในความจริงของโลกทุกสิ่งย่อมเสื่อมสลายและเปลี่ยนแปลงไปมันไม่ควรไปยึดถือใดๆ สุดท้ายหวังว่าการแบ่งปันของผู้เขียนคงเป็นคติเตือนใจและเป็นประโยชน์แก่ท่านที่เปิดใจรับบ้างไม่มากก็น้อย

ขอบคุณภาพประกอบ

ภาพปกจาก Canva

ภาพประกอบ 1 โดย StartupStockPhotos จาก Pixabay

ภาพประกอบ 2 โดย StockSnap จาก Pixabay

ภาพประกอบ 3 โดย StartupStockPhotos จาก Pixabay

ภาพประกอบ 4 โดย Pexels จาก Pixabay

เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์